......แล้วมันก็จับผมได้คาหนังคาเขา มันไม่ฟังเสียงเตะผมหนึ่งทีทันที ผมวิ่งหนีไปรอบๆห้องคิดว่าวันนี้คงเจ็บหนักแน่...

เมื่อตอนผมเป็นนักเรียนสมัยชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยมนั้น โรงเรียนที่ผมเรียนเป็นโรงเรียนชาย ตอนนั้นไม่มีการเรียนแบบสหศึกษา เมื่อนักเรียนทั้งโรงเรียนเป็นเพศชายหมด พฤติกรรมของนักเรียนและวัฒนธรรมโรงเรียนก็เป็นแบบผู้ชายและพฤติกรรมอย่างหนึ่งในสมัยนั้นก็คือการชกต่อยกันเมื่อเกิดการทะเลาะและหาข้อยุติไม่ได้ เรื่องอย่างนี้ไม่มีในโรงเรียนหญิง

เรื่องที่ทำให้เกิดการชกต่อยกันได้นั้นมีมากมาย และเกิดได้สองแบบ แบบแรกเกิดขึ้นทันทีทันใดที่มีเรื่อง อีกแบบนั้นจะนัดไปชกกันหลังโรงเรียนเลิกหรือตอนพักเที่ยงในห้องเรียนหรือที่ลับตาครู

การชกต่อยกันมีทุกวัยตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยม ซึ่งทางโรงเรียนถือว่าเป็นความผิด ถ้าครูจับได้จะต้องถูกตีทั้งคู่ ดังนั้นจึงต้องแอบไปชกกันไม่ให้ครูรู้ การชกส่วนใหญ่จะมีกรรมการ มีคนดูและมีกองเชียร์ พวกนี้จะโดนหวดด้วยถ้าครูจับได้ จึงต้องมีคนดูต้นทาง ถ้าเจ้าต้นทางเห็นครูก็จะตะโกนบอกว่า

"ครูมาโว้ย !" และทั้งนักมวย กรรมการและคนดูรวมทั้งต้นทางก็จะเผ่นไปคนละทิศคนละทาง

ที่โรงเรียนผมสมัยนั้นมีอาคารเรียนไม้หลังหนึ่ง อยู่มุมหลังสุดของโรงเรียน และห้องที่อยู่สุดท้ายของอาคารนี้เอง ที่มักจะกลายเป็นเวทีมวยประจำโรงเรียน เพราะไกลหูไกลตาครู พอโรงเรียนเลิกรอให้ครูกลับบ้านให้หมด ใครที่ท้าทายกันไว้ก็มาที่นี่ ใครที่อยากดูมวยฟรีก็มาที่นี่

โดยมากมักจะรู้กันว่าวันไหนจะมีมวย เพราะวันนั้นจะมีคนไปจับกลุ่มกันที่ห้องนี้ตั้งแต่โรงเรียนเลิก ก็แปลว่าวันนี้มีมวยแน่ แต่บางทีก็มีข่าวล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าวันนี้ ไอ้นั่นจะชกกับไอ้นี่ บางวันก็มีมวยหลายคู่ ตอนอยู่มัธยมผมได้ดูมวยฟรีบ่อย ทั้งยังเคยขึ้นเวทีมาแล้วด้วย เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง..

นักเรียนชั้นประถมชกกันไม่เจ็บสักเท่าไรเพราะยังตัวเล็ก ตอนชกก็หลับหูหลับตาเล่นมวยวัดเข้าใส่กัน โดนกันคนละสองสามตุ๊บแล้วก็มีคนแยก ไม่ถึงแพ้ชนะกันชัดเจน ส่วนใหญ่เพื่อจะพิสูจน์ว่า "กูไม่กลัวมึง" เท่านั้น แต่ถ้าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมตัวโตๆ การชกจะดุเดือด บางทีถึงขนาดปากแตกหน้าตาแตกเลือดไหลโกรกก็มี

เมื่อชกกันจนกรรมการเห็นว่าอีกข้างสู้ไม่ได้ก็จะเข้าห้ามปราม และการชกก็จบลงเท่านี้ บางทีข้างที่สู้ไม่ได้จะร้องบอกมาเองว่า

"เฮ้ย ! วันนี้พอแล้ว" ก็เป็นที่รู้กันว่านี่คือการขอยอมแพ้ นักมวยก็จับมือกันแล้วแยกกันกลับบ้านเอาแผลไปฝากพ่อแม่

การชกกันนี้ คู่ชกไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ทะเลาะกันโดยตรง อาจเป็น นักเรียนคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยก็ได้ เช่นใครที่ถูกคนตัวโตกว่าแกล้งก็อาจจะไปตามพี่ชายที่ตัวเท่ากันมาชกแทนได้ หรือจะไปหาเพื่อนอีกคนมาร่วมชกแบบ "สองต่อหนึ่ง" ก็ได้เหมือนกัน

สาเหตุของการทะเลาะถึงขั้นชกต่อยของนักเรียนอย่างหนึ่งคือ การหยามเกียรติกัน "เกียรติ" ที่ว่านี้คือการเอาชื่อพ่อหรือชื่อแม่ของเพื่อนมาเรียกหรือเอามาล้อ นักเรียนส่วนมากจะไม่รู้ชื่อพ่อชื่อแม่คนอื่น และต่างก็ต้องพยายามปกปิดชื่อพ่อแม่ของตัวไว้เป็นความลับสุดชีวิต

บางคนที่ชื่อพ่อถูกเปิดเผยมาแล้ว พอถูกเรียกชื่อพ่อ ถ้ารู้ชื่อพ่อเขาก็เรียกกลับไปอย่างนี้ถือว่าหายกัน เหมือนอย่างพม่ายิงปืนใหญ่เข้ามาฝั่งไทย ไทยก็ยิงโต้ตอบไปก็จบ

เรื่องเอาชื่อพ่อแม่มาล้อกันนี้ถือว่าเป็นการหยามเกียรติลูกผู้ชายกันอย่างร้ายแรง แม้ว่าโดยความจริงคุณจะไม่รักพ่อแม่ตัวเองเลยสักนิดก็ตาม ดังนั้นการได้รู้ชื่อพ่อแม่ของคนอื่นไว้จึงเป็นเหมือนกับ "มีอาวุธ" อยู่ในมือ ใครที่คิดจะแกล้งก็ต้องเกรงใจ เพราะจะถูกโต้ตอบได้ทันที ทุกคนจึงต้องเสาะแสวงหาชื่อพ่อแม่คนอื่นมาจดจำไว้ให้มากเพื่อเป็นอาวุธป้องกันตัว ประเทศที่มีอาวุธดีย่อมไม่มีใครกล้ารุกราน !

ชื่อพ่อแม่คนอื่นนี้ยังเอามาใช้ "แบล็คเมล" เพื่อนได้อีกด้วย คือถ้ารู้ว่าพ่อหรือแม่เขาชื่ออะไรก็แอบเข้าไปกระซิบว่า

"เฮ้ย อั๊วรู้แล้วว่าพ่อลื้อชื่ออะไร แต่อั๊วไม่บอกใครหรอก" และเพื่อยืนยันว่ารู้จริงก็บอกชื่อพ่อเขาไป

เท่านี้แหละไอ้หมอนี่จะอยู่ภายในกำมือคุณ มันจะเอาอกเอาใจคุณทุกอย่างเหมือนทาสผู้ภักดี จะขอยืมข้าวของ ปากกา ดินสออะไรซึ่งแต่ก่อนมันเคยงกเป็นได้หมด

บางคนก็จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ทำตัวเหมือนสายลับสองหน้า เอาชื่อพ่อคนหนึ่งที่เรารู้ไปแลกกับชื่อพ่อคนที่เรายังไม่รู้ เพื่อสะสมกำลังอาวุธให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

เมื่อผมอยู่ชั้นมัธยมสี่อายุประมาณสิบสี่ เป็นนักเรียนที่อยู่ในกลุ่มตัวเล็กที่สุดในห้อง และมักจะถูกเพื่อนที่ตัวโตกว่าบางคนแกล้งหรือแหย่เสมอ วันหนึ่งผมแอบไปรู้ชื่อพ่อเพื่อนคนหนึ่งมา ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธชั้นเยี่ยมทีเดียว เพราะทั้งห้องมีคนรู้ชื่อพ่อเจ้านี่เพียงคนเดียวเท่านั้น ผมเป็นคนที่สองที่มีระเบิดลูกนี้อยู่ในครอบครอง

เจ้าหมอนี่ตัวโตกว่าผมและมันรู้ชื่อพ่อของผม มันเคยเอาชื่อพ่อผมมาล้อบ่อยๆ ยิ่งกว่านั้นยังเคยเอาชื่อพ่อคนที่มันรู้ไปเขียนไว้บนกระดานดำ บางทีก็เอาไปเขียนไว้บนฝาโต๊ะของนักเรียนคนนั้นรวมทั้งโต๊ะที่ผมนั่งด้วย

แน่นอนทุกคนที่ถูกมันแกล้งตัวเล็กกว่ามัน จึงไม่อาจตอบโต้หรือป้องกัน ตัวเองได้ เหมือนประเทศเล็กที่ต้องอยู่ใต้อำนาจของประเทศใหญ่ มีความเจ็บใจลึกๆติดตัวผมมาตลอดที่ต้องเรียนร่วมห้องกับไอ้หมอนี่

เมื่อรู้ชื่อได้ไอ้หมอนี่แล้ว ผมก็เริ่มต้นเปิดศึกด้วยการทำสงครามจิตวิทยากับมันทันที ที่โรงเรียนตอนพักเที่ยงนักเรียนจะออกไปจากห้องเรียนเพื่อกินข้าวกันหมด ต่อจากนั้นบางคนก็ไปเล่นฟุตบอล บางคนไปจับกลุ่มคุยกันตามที่ต่างๆ ที่ไปห้องสมุดก็มี บางคนกลับเข้าไปในห้องเรียนนั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นรอเวลาเรียนตอนบ่ายโมง

วันนั้นผมรีบกินข้าวกลางวันอย่างเร็วแล้วกลับมาที่ห้องเรียน ไม่มีคนอยู่ในห้องเลย ! ผมรีบเอาชอล์คไปเขียนชื่อพ่อเจ้านั้นไว้ที่กระดานดำหน้าห้อง ผมเขียนเพียงตัวเล็กๆ แล้วก็รีบออกไปจากห้องไป

ผมกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมๆเพื่อนคนอื่นเมื่อใกล้เวลาเข้าเรียน พร้อมกับเจ้านั่นด้วย ตอนแรกมันไม่ทันเห็นชื่อพ่อของมันบนกระดานดำ แต่พอเห็นเข้ามันก็หยุดชะงักนิดหนึ่ง ไม่มีใครสังเกตนอกจากผม ...

ผมดูด้วยความสะใจว่ามันจะทำอย่างไรต่อไป แต่มันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของมันเหมือนคนอื่น

ครูเข้าห้องมาพอดี แล้วก็ลบกระดานดำเพื่อจะเขียนเรื่องที่จะสอน ไม่มีใครสนใจชื่อตัวเล็กๆที่ครูลบออกไป ไอ้นั่นนั่งหน้าเครียด มันรู้แล้วว่ามีคนรู้ความลับของมันอีกคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร !

วันรุ่งขึ้นผมก็ทำอย่างเดิมอีก แต่เขียนให้ตัวโตขึ้นกว่าเมื่อวาน คราวนี้เพื่อนคนอื่นในห้องชักจะรู้แล้วว่าน่าจะเป็นชื่อพ่อใครสักคน แต่ไม่รู้ว่าเป็นพ่อใครเพราะเป็นชื่อใหม่ และไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน ไอ้หมอนั่นก็ยังทำเป็น"ไก๋" ไม่สนใจกับชื่อพ่อมันบนกระดานเหมือนเมื่อวาน แต่ผมคิดว่าหัวใจของมันแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ และนั่งดูมันด้วยความสุข

ผมเดาได้ว่าต่อไปนี้มันจะต้องมาคอยเฝ้าดู ว่าใครเป็นคนเขียนชื่อพ่อมันบนกระดานดำ ดังนั้นวันต่อมาผมจึงไม่เขียนกระดาน ผมไปเล่นกับเพื่อนอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดๆกัน เห็นไอ้หมอนั่นนั่งที่ม้ายาวริมระเบียงใกล้บันได ทำเป็นอ่านหนังสืออยู่ แต่ตามันคอยชำเลืองไปที่ห้องเรียนของเราว่ามีใครเข้าไปบ้าง มันไม่รู้หรอกว่าผมก็กำลังแอบดูมันอยู่อีกทีหนึ่งเหมือนกัน เหมือนสายลับที่กำลังลอบมองสายลับด้วยกัน

เจ้านั่นทนอดข้าวกลางวันอยู่อีกหลายวัน มาแอบเฝ้าดูคนที่เขียนชื่อพ่อมันบนกระดานดำ แต่ก็ล้มเหลวเพราะผมไม่เขียนกระดานดำอีก

อีกหลายวันต่อมาก็ไม่ปรากฏชื่อพ่อไอ้หมอนี่บนกระดานดำ จนใครๆในห้องก็พาลืมกันไปแล้ว แต่แล้วเช้าวันหนึ่งก็มีชื่อพ่อมันถูกเขียนไว้บนกระดานดำอีก มันเป็นฝีมือของผมเอง ! วันนั้นผมรีบมาโรงเรียนแต่เช้า เกือบจะเป็นคนแรกด้วยซ้ำไป

เมื่อนักเรียนคนอื่นทยอยกันเข้ามาในห้องก็ได้เห็นชื่อพ่อไอ้นี่อีก ส่วนไอ้ลูกชายเจ้าของชื่อนั้น พอเข้ามาในห้องและเห็นชื่อพ่อมันเข้าก็หน้าเครียด แต่พยายามเก็บความรู้สึก มันจะทำร้อนตัวไม่ได้ !

ตลอดวันนั้นมีผมเท่านั้นที่รู้ว่ามันกำลังงุ่นง่านเหมือนหมาบ้า เพื่อนๆในห้องเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอีกว่าเป็นชื่อพ่อใคร มันแอบไปคุยอย่างเคร่งเครียดกับเจ้าเพื่อนคนเดียวที่รู้ชื่อพ่อมัน เพราะเป็นญาติห่างๆกัน คงจะปรึกษากันว่าชื่อพ่อมันหลุดไปถึงคนอื่นได้อย่างไร… ผมแสนจะสะใจ !

อีกหลายวันที่ไม่มีชื่อพ่อไอ้หมอนี่บนกระดานดำ เพราะผมก็ต้องระวังตัวไม่ทำให้ถี่ไป

และเช้าวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเขียนชื่อพ่อไอ้นี่บนกระดานดำ ก็มีคนมากระชากคอเสื้อผมให้หันกลับไป มันนั่นเอง !

มันคงแอบมาเฝ้าที่โรงเรียนตั้งแต่เช้าก่อนผมมา แล้วมันก็จับผมได้คาหนังคาเขา มันไม่ฟังเสียงเตะผมหนึ่งทีทันที ผมวิ่งหนีไปรอบๆห้องคิดว่าวันนี้คงเจ็บหนักแน่ เพราะเวลาเข้าแถวตามลำดับไหล่มันจะยืนอยู่ต้นๆแถว ในขณะที่ผมยืนอยู่เกือบปลายแถว แล้วผมก็คิดอะไรได้อย่างหนึ่ง !

มีเพื่อนคู่หูผมคนหนึ่งตัวเราเท่าๆกันและสนิทกันมาก เขาก็เคยถูกไอ้หมอนี่แกล้งด้วยคนหนึ่งเหมือนกัน ผมรีบร้องท้ามันไประหว่างที่วิ่งหนีว่าขอสู้กับมันแบบสองต่อหนึ่งกับเพื่อนคนนั้น มันก็ใจนักเลงพอตกลงรับคำท้า แต่เฝ้าผมไว้ไม่ให้หนีออกนอกห้องเรียนไป

อีกไม่นานนักเรียนคนอื่นก็ทยอยมาถึงห้องเรียน รวมทั้งเพื่อนผมคน นั้นด้วย ไม่มีปัญหาสำหรับเขา เราจะอยู่ข้างเดียวกัน !

ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาเคารพธงชาติ ครูก็ยังไม่มา เราสามคนถอดรองเท้าออก เอาชายเสื้อออกมานอกกางเกงเพื่อความคล่องตัว การต่อสู้จะเป็นแบบมวยไทย "สองต่อหนึ่ง" มีเพื่อนหลายคนร่วมเป็นพยานด้วย มีคนอาสาเป็นกรรมการให้คนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งคอยดูต้นทาง

พอกรรมการบอกว่าชกได้ เราก็รำหมัดเข้าหากัน เพียงแค่วินาทีแรกไอ้หมอนั่นก็เสียท่าเมื่อมันถลันเข้ามาหาเรา มันถูกเพื่อนคู่ชกข้างผมเตะผ่าหมากเข้าที่สำคัญเสียงดังผับ ! มันหยุดกึก ! เอามือทั้งสองข้างกุมตรง "หมาก" ของมัน แล้วค่อยๆก้มตัวลงโก้งโค้งอยู่กับพื้นหน้าเขียวทีเดียว

การชกเป็นอันยุติโดยอัตโนมัติ เราสองคนเป็นผู้ชนะการต่อสู้ แต่ดูเหมือนจะแพ้ฟาว์ล ! เราเข้าไปช่วยประคองมันให้ลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วเราก็ใส่รองเท้ากับเอาชายเสื้อใส่กางเกงตามเดิม

ไม่มีการจับมือกันตามธรรมเนียมเพราะมือของไอ้หมอนั่นไม่ว่าง ยังคงนั่งหน้าเขียวกุมหมากของมันอยู่ นักเรียนเข้ามาในห้องมากขึ้นและได้รู้เรื่องผลมวย ทั้งที่มาของมวยรวมทั้งชื่อพ่อไอ้หมอนั่นกันถ้วนทั่ว

เสียงออดสัญญาณให้นักเรียนไปเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น เพื่อน ผู้ชนะฟาว์ลแข็งใจเดินโขยกเขยกไปที่กระดานดำ มือหนึ่งยังกุมหมากไว้ อีกมือหนึ่งเอาแปรงลบกระดานลบชื่อพ่อของมันออก แล้วก็เดินระทดระทวยกลับมานั่งฟุบหน้าที่โต๊ะของมันต่อ วันนี้มันไม่ได้ไปยืนเคารพธงชาติเหมือนคนอื่น

อีกหลายวันต่อจากนั้น เราสองคนไม่ว่าจะเรียกว่าผู้ชนะหรือผู้แพ้ก็แล้วแต่จะแยกกันไม่ได้เลย ไปไหนจะต้องเดินติดกันแจเหมือนปาท่องโก๋ ตอนนั้นเรายึดมั่นกับสุภาษิตที่ว่า "รวมกันเราอยู่ - แยกกันเราตาย" ด้วยความจำเป็น...o

เมื่อวันที่ : 27 ส.ค. 2548, 13.20 น.
ฮาๆ ขอบคุณครับ