......ลูกค้าพวงมาลัยของน้ำฝนมักจะมีเงื่อนไขเสมอ เมื่อจะซื้อพวงมาลัยสักพวง เป็นต้นว่า...
"นายกรัฐมนตรีชื่ออะไร ? ถ้าตอบได้ถึงจะซื้อ" ...
......

เสียงเพลงชาติไทยดังขึ้น ! น้ำฝนดึงมือพ่อให้หยุดแล้วยืนตรง วันนี้เธอจะร้องเพลงชาติไทยเป็นวันสุดท้าย...

"น้ำฝนจ๋า ! ฉันอยากฟังนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ คราวหน้าเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ ? " แล้วคุณผู้หญิงก็ลูบหัวของเธอเล่น

น้ำฝนยังจำความอบอุ่นจากน้ำมืออันปราณีนั้นได้ดี มีอะไรบางอย่างที่เด็กหญิงตัวน้อยคิดว่า จากวันนี้ไปเธอจะไม่ได้พบกับคุณผู้หญิงอีกแล้ว...

....................................................................................

"น้ำฝน" ได้ชื่อนี้จากคุณครูเสาวภาแทนชื่อเดิมของเธอในวันที่พ่อพาไปฝากเข้าโรงเรียน มันเป็นโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งของตำบลที่ยอมรับเด็กต่างแดนเข้ามาเรียน พ่อซื้อชุดนักเรียนให้เธอสองชุดไว้ใส่มาโรงเรียน แล้วยังซื้อกระเป๋า นักเรียนใบเล็กให้ใบหนึ่งด้วย

น้ำฝนได้วิ่งเล่นไล่จับกับเพื่อนหญิงชาวกะเหรี่ยงตัวเล็ก บางทีเธอก็จะเล่นไม้กระดกกับเด็กชายชาวม้ง แปดโมงเช้าเธอต้องเข้าแถวร้องเพลงชาติกับทั้งเด็กไทยและเด็กต่างแดนที่หน้าเสาธงทุกวัน

ที่นี่เชื้อชาติ ศาสนาและชั้นวรรณะ ไม่อาจแบ่งกั้นเด็กๆที่ยังบริสุทธ์เหมือนน้ำค้างในยามเช้าออกจากกันได้ และเพียงเดือนเดียวน้ำฝนก็ได้ยืนเป็นต้นเสียงร้องเพลงชาติไทยที่หน้าเสาธง...เธอมีพรสวรรค์ในการร้องเพลงมากทีเดียว

พอโรงเรียนเลิกในตอนบ่าย พ่อจะถีบจักรยานจากที่ก่อสร้างที่พ่อทำงานมารับน้ำฝนกลับห้องพักคนงานที่อยู่ใกล้ๆ พ่อจะหาข้าวเย็นให้เธอกินก่อนที่พ่อค้าขายส่งพวงมาลัยจะมารับเธอพร้อมกับเด็กคนอื่นๆตอนห้าโมงเย็น เขารับพวกเธอใส่รถสองแถวไปตระเวนส่งตามสี่แยก ตามร้านอาหารและตามชุมชนหรือที่ไหนๆ ที่พวงมาลัยจะขายได้

พ่อบอกว่าถ้าช่วยกันหาเงินได้เร็วก็จะได้กลับไปบ้านได้เร็วขึ้น ที่นั่นปู่กับย่ารออยู่ ! พ่อว่าจะทำงานเก็บเงินอยู่ที่เมืองไทยปีเดียวเท่านั้น

และน้ำฝน เด็กหญิงชาวไทลื้อหน้าตาหมดจดก็ได้มาขายพวงมาลัยที่ร้านอาหารใหญ่แห่งนี้เป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่อายุยังไม่ทันจะสี่ขวบด้วยซ้ำ...

พ่อจะถีบรถจักรยานมารับเธอที่ร้านกลับห้องพักคนงานเวลาทุ่มตรงทุกวัน เมื่อกลับมาถึงห้องพักอีกครั้ง พ่อจะดูแลให้น้ำฝนอาบน้ำ สีฟันและให้เข้านอน พ่อเป็นทั้งพ่อและแม่ของเธอในเวลาเดียวกัน น้ำฝนไม่เคยรู้เลยว่าการมีแม่นั้นเป็นอย่างไร... ตั้งแต่ยังไม่มาอยู่เมืองไทยด้วยซ้ำ ที่บ้านนอกจากพ่อแล้ว เธอรู้จักแต่ปู่กับย่าและเพื่อนบ้านคนอื่นเท่านั้น ไม่มีใครเคยพูดถึงแม่ของเธอเลย ...

ที่ร้านนี้เองที่น้ำฝนได้พบ "คุณผู้หญิง กับ "คุณผู้ชาย" เป็นครั้งแรก และมันกลายเป็นความผูกพันที่ยาวนานตลอดค่อนปีของการขายพวงมาลัย

.....................................................................................

วันนั้นทันทีที่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายนั่งลงที่โต๊ะตัวเล็กข้างสวนดอกไม้ของร้าน น้ำฝนรีบเดินเข้าไปที่โต๊ะนั้น!

"ซื้อพวงมาลัยก่อเจ้า ? มาลัยดอกรักด้วยนะเจ้า ! " น้ำฝนยื่นพวงมาลัยดอกมะลิให้คุณผู้ชายดู แค่สายอุบะของมันเท่านั้นที่ทำด้วยดอกรัก ส่วนที่ปลายตุ้มเป็นกุหลาบแดง พ่อค้าพวงมาลัยสอนไว้ให้พูดอย่างนี้ ถ้าเห็นหนุ่มสาวมาด้วยกัน

คุณผู้ชายหันมาดูน้ำฝนแล้วหัวเราะชอบใจ เขาซื้อทันทีโดยไม่ลังเลแล้วยื่น"มาลัยดอกรัก" นั้นให้กับคุณผู้หญิง ทั้งคู่มองตากันและก็หัวเราะ คุณผู้หญิงหันมาถามชื่อเธอแล้วเอามือลูบหัวน้ำฝนเบาๆ ... นี่เป็นการเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างน้ำฝนกับคุณผู้หญิงในเวลาต่อมา

คุณผู้ชายกลายเป็นลูกค้าประจำคนหนึ่งของน้ำฝน คุณผู้ชายจะซื้อมาลัยดอกรักจากเธอให้คุณผู้หญิง และคุณผู้หญิงก็จะลูบหัวเธอเล่นทุกครั้งไป น้ำฝนรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่มือนุ่มของคุณผู้หญิงลูบไล้อยู่บนหัวเธอ..

งานขายพวงมาลัยทำให้น้ำฝนต้องหาความรู้เอาเอง บางเรื่องเธอต้องไปถามพ่อ เช่นถ้าแขกในร้านถามถึงชื่อเก่าของเธอว่าแปลว่าอะไร บางคนก็ถามว่ามาจากเมืองอะไร แต่เรื่องส่วนมากเธอจะต้องไปถามคุณครูเสาวภา ครูประจำชั้นใจดีเพื่อมาตอบคำถามพวกคุณๆทั้งหลาย

ลูกค้าพวงมาลัยของน้ำฝนมักจะมีเงื่อนไขเสมอ เมื่อจะซื้อพวงมาลัยสักพวง เป็นต้นว่า...

"นายกรัฐมนตรีชื่ออะไร ? ถ้าตอบได้ถึงจะซื้อ" ชายหนุ่มที่มากินเลี้ยงกันที่โต๊ะใหญ่ถามน้ำฝน ...

แต่เขาก็ซื้อพวงมาลัยแม้ว่าเธอจะตอบไม่ได้ ถามไปอย่างนั้นเอง ! และวันรุ่งขึ้นน้ำฝนก็ได้รู้ชื่อนายกรัฐมนตรีจากคุณครูเสาวภา

แขกบางคนจะให้น้ำฝนร้องเพลงชาติให้ฟังก่อน เขาหวังว่าเด็กหญิงต่างแดนคนนี้คงจะร้องไม่ได้ แต่น้ำฝนร้องเพลงชาติไทยได้ดี ดีอย่างที่เด็กวัยสี่ขวบครึ่งจะร้องได้ และดีกว่าเด็กนักเรียนไทยวัยเดียวกันด้วยซ้ำไป เขาไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นต้นเสียงร้องเพลงชาติหน้าเสาธงที่โรงเรียน !

"ร้องเพลงลอยกระทงได้ใหม ?" แขกของร้านบางคนจะถามอย่างนี้ เมื่อเขารู้แล้วว่าเธอร้องเพลงชาติได้ อีกสองสามวันน้ำฝนก็ร้องเพลงลอยกระทง ได้ ... คุณครูเสาวภาเป็นคนสอนให้เธอ

แต่สำหรับคุณผู้หญิงนั้นต่างกับคนอื่น ...

"น้ำฝนจ๋า ! ฉันอยากฟังนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ คราวหน้าเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ ? "

นี่ไม่ใช่เงื่อนไขในการซื้อพวงมาลัย แต่เป็นการขออย่างอ่อนหวานพร้อมกับการลูบหัวเธออย่างปราณี หลังจากที่คุณผู้ชายซื้อพวงมาลัยให้ไปแล้ว

ครั้งต่อไปเมื่อมากินอาหารที่ร้านนี้ ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายก็จะได้ฟังนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะอย่างไม่ตกหล่น น้ำฝนรู้ว่าเรื่องอะไรที่ต้องถามพ่อ และเรื่องอะไรที่ต้องถามคุณครูเสาวภา

คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายมากินอาหารเย็นที่ร้านนี้เป็นประจำทุกวันสิ้นสัปดาห์ มาลัยดอกรักของน้ำฝนยังคงขายให้กับคุณผู้ชายได้ทุกครั้งเหมือนเดิม และคุณผู้หญิงก็ยังอยากจะฟังนิทานเรื่องอื่นๆจากเธออีกในการพบครั้งต่อไป ทั้งๆที่เคยได้ฟังเรื่อง "หมาป่ากับลูกแกะ"..."ชาวนากับงูเห่า"... "ลูกเป็ดขี้เหร่" และเรื่องอื่นๆจากน้ำฝนไปแล้ว

ที่โรงเรียน ในชั่วโมงสุดท้ายก่อนกลับบ้าน คุณครูจะสอนร้องเพลง ไม่ก็เล่านิทานให้เด็กๆฟัง ในวันที่เล่านิทานน้ำฝนจะนั่งตาแป๋วฟังอย่างตั้งใจที่สุด เธอชอบชั่วโมงที่คุณครูเล่านิทานมาก เพื่อจำนิทานเอาไว้ไปเล่าอวดคุณผู้หญิง !...

"ซื้อพวงมาลัยบูชาพระก่อเจ้า ? " น้ำฝนจะเอ่ยประโยคนี้กับแขกผู้หญิงที่ดูมีอายุสักหน่อย ตามที่พ่อค้าพวงมาลัยสอนไว้ และเธอจะต่อข้อเสนอด้วยประโยคว่า

"วันนี้วันศีลด้วยนะเจ้า !" ดังนั้นน้ำฝนจะต้องจำให้ได้ว่าวันไหนเป็นวันพระ เพื่อให้พวงมาลัยของเธอดูมีค่าต่อลูกค้ามากขึ้น

ในบรรดาเด็กขายพวงมาลัยในร้านนี้ น้ำฝนเป็นเด็กตัวเล็กที่สุดแต่ก็ขายพวงมาลัยได้มากที่สุด

วันหนึ่งคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงมากินอาหารที่ร้านอีก คุณผู้หญิงลูบหัวของน้ำฝนอย่างเคยหลังจากรับมาลัยดอกรักจากคุณผู้ชายแล้ว น้ำฝนรู้สึกว่ามือของคุณผู้หญิงช่างนุ่มนวลยิ่งกว่าทุกวัน เธออยากจะให้คุณผู้หญิงลูบหัวเธอนานๆ น้ำฝนดึงมือคุณผู้หญิงมากอดแนบแก้มไว้ คุณผู้หญิงหัวเราะเสียงใส หยิกหยอกที่ปลายคางเธอแล้วหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมายื่นให้

"เปิดดูสิจ๊ะ ! " คุณผู้หญิงบอกกับเธอ

น้ำฝนรับถุงกระดาษนั้นไว้อย่างไม่ค่อยเข้าใจ จนกระทั่งคุณผู้หญิงเตือนอีกครั้งว่าให้เปิดถุงนั้นดู เธอจึงเปิดถุงนั้น ! ในนั้นเป็นตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลน่ารัก !

น้ำฝนมองตุ๊กตาหมีตัวน้อยอย่างตื่นเต้น เธอลองเอามือจับตุ๊กตาตัวนั้น มันร้องออกมาได้เมื่อถูกมือเธอจับ น้ำฝนแทบจะร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดขีด ! ขนสีน้ำตาลของมันอ่อนนุ่ม ตามันสีดำกลมเป็นมันวาว เจ้าหมีน้อยมองเธอเหมือนกับทักทาย เธอดีใจที่คุณผู้หญิงเอาตุ๊กตาหมีตัวนี้มาให้ดู

...น้ำฝนบีบตัวมันเบาๆให้มันร้อง ลูบหัวมันอีกครั้งแล้วก็ส่งคืนให้คุณผู้หญิงด้วยความเสียดาย !

"เอาไปสิ ! ฉันให้น้ำฝน" คุณผู้หญิงยื่นถุงตุ๊กตาหมีนั้นกลับมาให้เธอ
... นี่คุณผู้หญิงให้เธอจริงๆหรือนี่ ! ทีแรกน้ำฝนคิดว่าให้เธอดูเฉยๆ

.....................................................................................

...ค่ำวันนั้นเมื่อกลับถึงบ้าน น้ำฝนรีบอาบน้ำ กินข้าวและสีฟันโดยเร็ว แล้วเอาตุ๊กตาหมีมาเล่นอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องพัก เธอคุยกับมัน เล่านิทานให้มันฟัง ร้องเพลงให้มันฟังด้วย และเอามันเข้าไปนอนข้างๆด้วยเมื่อพ่อบอกให้ไปเข้านอนได้

ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนเธอจะคุยกับมันก่อนที่พ่อจะจับตัวเธอขึ้นรถจักรยานไปส่งโรงเรียน และถ้าเป็นวันโรงเรียนหยุด เธอก็จะอุ้มมันแล้วยืนตรง ร้องเพลงชาติกับมันตอนแปดโมงเช้าที่หน้าห้องพัก และเธอก็ไม่เคยลืมที่จะเล่านิทานกับร้องเพลงให้มันฟังก่อนนอนทุกคืน

... และช่างแปลกอะไรอย่างนั้น ! คุณครูเสาวภาได้เล่านิทานเรื่องใหม่ชื่อเรื่อง "หมีน้อยสามตัว" ให้เธอฟังหลังจากที่เธอได้ตุ๊กตาหมีมาเพียงสองวัน น้ำฝนจำเรื่องนี้ได้เกือบทุกถ้อยคำในการฟังเพียงครั้งเดียว

แล้วบ่ายวันหนึ่ง ! คุณครูเสาวภาก็บอกนักเรียนทุกคนว่าพรุ่งนี้เป็น "วันแม่" นักเรียนทุกคนจะต้องร้อยพวงมาลัยดอกมะลิเอาไปให้แม่

คุณครูเสาวภาเอาถุงพลาสติกใหญ่มาใบหนึ่ง ในนั้นมีดอกมะลิอยู่เต็ม คุณครูเสาวภาหยิบดอกมะลิมากองไว้บนโต๊ะนักเรียนทุกคน เอาด้ายมาแจกให้คนละเส้นพร้อมกับลวดเส้นเล็กๆ แล้วคุณครูก็สอนให้นักเรียนร้อยมาลัยดอกมะลิแบบง่ายๆ เด็กทุกคนสนุกมากต่างก็ร้อยมาลัยกันชุลมุน

และเมื่อโรงเรียนเลิก นักเรียนตัวเล็กๆก็ถือมาลัยดอกมะลิกลับไปกันทุกคน พวกเธอจะเอาไปให้แม่อย่างที่คุณครูเสาวภาบอก แน่นอนรวมทั้งน้ำฝนด้วย ! เย็นวันนี้เธอจะเอามาลัยดอกมะลิที่ร้อยเองไปให้คุณผู้หญิง ! พรุ่งนี้เป็นวันหยุด คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายจะต้องมาที่ร้านแน่นอนเหมือนทุกที

เย็นนั้นน้ำฝนรอคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายอย่างใจจดใจจอ เธอเฝ้าชะเง้อมองไปยังลานจอดรถตลอดเวลา เธอมีนิทานเรื่องหมีน้อยสามตัวจะเล่าอวดคุณ ผู้หญิง และมีมาลัยดอกมะลิวันแม่ที่จะให้กับคุณผู้หญิงด้วย เหมือนอย่างที่เด็กนักเรียนคนอื่นเขาเอาไปให้แม่กัน

แต่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายก็ยังไม่มา จนพ่อมารับกลับห้องพัก ! ...

เช้าวันรุ่งขึ้นมีเพื่อนพ่อสองคนมาหาพ่อที่ห้องพักคนงาน เขาได้รับข่าวจากเมืองที่เธอกับพ่ออยู่ เขาบอกพ่อว่าปู่ของเธอตายเสียแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่น้ำฝนได้เห็นน้ำตาของพ่อ !

พ่อบอกว่าจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อให้ทันเผาศพปู่ และจะช่วยย่าทำนาต่อไป พ่อบอกว่าวันนี้เธอไม่ต้องไปโรงเรียนและไม่ต้องไปขายพวงมาลัยอีกแล้ว
พ่อบอกขายจักรยาน วิทยุและข้าวของในห้องพักให้กับเพื่อนคนงานห้องข้างๆหมดภายในวันนั้น เพื่อจะกลับบ้านให้เร็วที่สุดพร้อมกับเงินที่พ่อกับเธอช่วยกันทำงานและเก็บ กันไว้...

.................................................................................

...แปดโมงเช้าวันนั้นที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ความชุลมุนวุ่นวายของคนหลายเชื้อชาติที่รอผ่านเข้าออกพรมแดนฝั่งไทยก็หยุดนิ่งเมื่อเสียงเพลงชาติไทยดังขึ้น

หลายคนมองไปยังสองคนพ่อลูกคู่หนึ่งที่ยืนอยู่บนสะพานฝั่งไทยด้วยความแปลกใจ คนพ่อถือของพะรุงพะรังยืนนิ่ง ลูกสาวตัวเล็กยืนอยู่ข้างๆ เธออยู่ในชุดนักเรียนไทยและยืนตัวตรงทีเดียว มือข้างหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนใบเล็ก อีกมือหนึ่งกอดตุ๊กตาหมีไว้ มีมาลัยดอกมะลิที่เหี่ยวเฉาจนเป็นสีน้ำตาลพันอยู่รอบคอตุ๊กตาหมีน้อยตัวนั้น !

เธอกำลังร้องเพลงชาติไทยพร้อมๆกับเสียงเพลงที่ดังมาจากลำโพง ใบหน้าหมดจดไร้เดียงสานั้นนองไปด้วยน้ำตา ! ...O

เมื่อวันที่ : 16 ส.ค. 2548, 16.01 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...