![]() |
![]() |
รันนรา![]() |
นานมาแล้วที่ผมไม่ได้พูดคำนี้ เป็นคำที่เมื่อพูดเมื่อไรก็รู้ทันทีว่ามันออกจากหัวใจ
จากหัวใจของลูกคนหนึ่ง ที่รักแม่ไม่น้อยกว่าลูกทุกคนในโลกนี้
ผมมีเรื่องจะคุยกับแม่เยอะแยะเลย
.............
ลูกชายคนนี้ของแม่ หลังจากเลิกตักตวงเอาเลือดจากอกของแม่มาเป็นอาหารเลี้ยงตัวเองได้ไม่นาน ผมก็ได้ใช้หยาดเหงื่อแรงกายของแม่แลกมาซึ่งอาหารการกิน เครื่องแต่งกาย และการร่ำเรียนต่อมาอีกเนิ่นนาน
ผมยังจำได้ ภาพการนั่งพับถุงกระดาษของแม่ ที่แม่ทำตั้งแต่เช้ายันดึกดื่น
แม่ไปรับกระดาษมาจากโรงงานแห่งหนึ่ง โดยขึ้นรถเมล์ไปในตอนเช้า กลับมาในตอนเที่ยง
ลูกหกในเจ็ดคนของแม่ไปเรียนหนังสือ ลูกคนที่เจ็ดคือผมนั้นจะได้ไปกับแม่ด้วย แม่ไม่เคยทิ้งผมเอาไว้ให้อยู่คนเดียว
แม่ใช้สองมือที่หยาบกร้านนั้น หิ้วกระดาษหนาหนัก แม้ผมจะเข้าช่วย แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนอกเสียจากทำให้เกะกะมากขึ้น
เมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่แกะกระดาษออกมาเรียงเป็นแถว ใช้แป้งเปียกที่ทำจากแป้งผสมน้ำร้อนทาบริเวณขอบกระดาษจนทั่วถึง
แล้วแม่ก็พับ แผ่นแล้วแผ่นเล่าผ่านมือแม่ออกมา ผมได้แต่เพียงช่วยเรียงซ้อน ๆ กันเอาไว้ แล้วเอาท่อนไม้ทับไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม ลมซึ่งมาจากพัดลมเครื่องเล็ก ๆ ที่เวลาจะให้มันหมุนต้องใช้มือหมุนเสียก่อน
แม่ทำอยู่อย่างนี้เรื่อยมา แม่บอกว่าเงินเดือนที่พ่อทำได้ ไม่พอจะเลี้ยงลูกทั้งเจ็ดคน แม่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยพ่อ
พ่อเป็นแค่เสมียนบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เงินเดือนเท่าไหร่นั้นผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่มากเท่าใดนัก แต่ก็ได้เยอะกว่าที่แม่ทำได้มาก
แม่พับถุงกระดาษ ขายได้ร้อยละหกสลึง พันละสิบห้าบาท
การพับถุงกระดาษหนึ่งพันใบ ต้องเสียเวลาทำไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน
ผมยังจำได้ เมื่อผมโตขึ้นจนเข้าเรียนแล้ว ผมต้องรอให้แม่พับถุงใบที่พันเสร็จ แล้วยกถุงพันใบนั้นไปแลกเอาเงินมา ก่อนจะเอาเงินนั้นไปใช้ที่โรงเรียน
ผมรู้ว่าแม่เหนื่อย แต่แม่ไม่เคยปริปากอะไรออกมา ควักสตางค์ให้ทุกครั้งที่ผมต้องการไปซื้อขนมหรือของเล่น
ไม่เฉพาะผมเท่านั้น ลูกทุกคนเมื่อแบมือขอเงินแม่ แม่มักจะมีให้ แม่มักจะให้โดยไม่พูดไม่บ่นสักคำ
..........
ช่วงเรียนอยู่ป.4 ผมเกเรียนอย่างมาก เนื่องจากเพิ่งเริ่มเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่ชอบ และครูที่สอนก็ดุมาก เป็นครูที่ไร้จิตวิทยาในการสอนโดยสิ้นเชิง
ผมเคยถูกครูคนนี้ตีด้วยเสาอากาศที่ทำจากแท่งพลาสติก ตีจนเลือดซิบออกมาจากรอยแนวที่เขียวคล้ำสิบรอย จากสาเหตุที่ไม่สามารถท่องศัพท์ได้ให้ครบสิบคำในวันหนึ่ง
แม่เห็นบาดแผล แม่กอดผมอย่างสงสารจับใจ แต่แม่ไม่โทษครู แม่บอกว่าครูเขาอยากจะให้เราได้ดี ครูเขาถึงตีเรา
แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมไม่ยอมไปโรงเรียนอีกต่อไป
ผมบอกแม่ว่า ผมจะอยู่บ้านช่วยแม่พับถุงขาย ผมจะพับให้ได้เยอะ ๆ จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ
แม่หัวเราะ แล้วบอกผมว่า "ไม่ได้"
แม่เรียนไม่สูงนัก แม่จึงไม่มีถ้อยคำดี ๆ มาสั่งสอนผม
ท่านบอกอย่างเดียวว่า "ลูกไม่เรียนไม่ได้..ลูกจะลำบากอย่างแม่กับพ่อไม่ได้.."
การลากจูงผมไปโรงเรียนจึงได้เกิดขึ้นในวันหนึ่ง
ผมเดินร้องไห้ตลอดทาง ผวาเข้าเกาะต้นไม้ทุกต้น เสาไฟฟ้าทุกต้น แม้แต่ต้นหญ้าหรือรั้วของบ้านทุกบ้านที่เดินผ่าน แม่แกะมือผมออก ทั้งลากทั้งจูง ทั้งพร่ำบ่นทั้งเหนื่อยหอบ
แต่แม่ไม่เคยลงมือตีผมเลย และไม่เคยตีเลยตลอดชีวิตของผม
เมื่อไปถึงโรงเรียน แม่ขอเข้าพบครูคนนั้น ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ
แม่ไปพูดอย่างไรไม่ทราบ คุณครูคนนั้นออกมาหาผม ที่ยืนรออยู่หน้าโรงเรียน
"ครูรับปากว่าจะไม่ตีเธออีกต่อไปแล้ว ครูสัญญา.."
...........
แม่ครับ..เมื่อผมโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นครอบครัวของเรามีฐานะดีขึ้นบ้าง เพราะพี่ชายคนโตและคนรอง สามารถหางานทำได้ในขณะที่เรียนไปด้วย
แต่ทำไมแม่ถึงไม่หยุดพับถุง???
อาจจะเป็นเพราะพ่อป่วยบ่อย ร่างกายที่กรำงานหนักและดื่มหนักสูบหนัก ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้
พ่อทำงานได้บ้างไม่ได้บ้าง วันไหนขาดงานวันนั้นก็จะถูกหักจากเงินเดือน
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ต้องพับถุงขายต่อไป
..........
แม่เป็นผู้หญิงร่างอ้วน..เวลาหัวเราะแม่จะตาหยี..
สิ่งหนึ่งที่แม่เสพติด เป็นสิ่งเดียวที่ลูก ๆ ทุกคนมักจะจามเมื่อเข้าใกล้แม่
แม่ติดยานัตถุ์ ท่านั่งนัตถุ์ยาของแม่ก็เป็นภาพที่ติดตาของผมจนทุกวันนี้
แม่จะเหยียดขาออกไป เอาขาหนึ่งไปซ้อนกับอีกข้างหนึ่ง มือซ้ายแบ มือขวาถือหลอดเป่าบดยาไปมา ก่อนจะใส่เข้าหลอดแล้วเป่าพรืด
ลูก ๆ ที่อยู่ใกล้กระเจิงออกไปอย่างรวดเร็ว
แม่หัวเราะพุงกระเพื่อม..ใช้ผ้าเช็ดหน้าสั่งน้ำมูกดังปื้ด
วันละสองสามครั้งที่แม่ทำอย่างนี้ จนผ้าถุงและเสื้อของแม่เหม็นแต่ยานัตถุ์
แต่แม่รู้ไหม ผมชอบนอนตักแม่ที่สุดเลย
ตักแม่ที่มีผ้าถุงกลิ่นยานัตถุ์นี่แหละ เป็นความนุ่มนิ่มที่ผมคุ้นเคย เป็นกลิ่นที่ผมจดจำ
.........
ลูกของแม่คนนี้เรียนไม่เก่ง แต่ก็พอเอาตัวรอดได้
ใกล้จะจบก็ได้งานทำ เป็นงานที่ผมชอบทำมาก แม่มักเป็นห่วงผมเสมอที่ผมต้องกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ
ไม่ว่ากี่โมงที่ผมเข้าบ้าน แม่จะลุกขึ้นมาดูผม แล้วถามว่ากินข้าวมาหรือยัง
ผมจำได้ดีถึงวันแรก ที่ผมนำเงินมาให้แม่
เป็นเงินที่ผมได้จากการทำงานก้อนแรกในชีวิต จำนวนเก้าร้อยบาทถ้วน
ผมยื่นให้แม่เงียบ ๆ แม่รับไปเงียบ ๆ
ผมไปนั่งกินข้าว แม่นั่งดูโทรทัศน์
ผมเห็นแม่นั่งน้ำตาไหล ทั้ง ๆ ที่โทรทัศน์กำลังเสนอข่าวจากทางราชการ
แม่หยิบเงินนั้นขึ้นมามาดู บรรจงพับอย่างสุดหวง ค่อย ๆ สอดเข้ากระเป๋าเสื้อคอกระเช้าของแม่อย่างทะนุถนอม
ผมไม่ถามแม่ว่าแม่เป็นอะไร เพราะผมเองก็กำลังกินข้าวแกล้มน้ำตาอยู่เหมือนกัน
เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตัน เป็นน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจ
ผมจะไม่ยอมให้แม่พับถุงขายอีกต่อไปแล้ว...
.........
วันแม่นี้นะครับ..ผมจะไปกราบแม่
ผมจะไปกอดแม่ หอมแก้มแม่ และนอนหนุนตักแม่
แม้แม่จะไม่ได้นัตถุ์ยาแล้ว แม้แม่จะมีแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว แม้แม่จะลุกนั่งเดินเหินไม่ได้แล้ว
และแม้แม่จะมองอะไรไม่เห็นแล้ว
แต่ผมเชื่อว่าอ้อมกอดของแม่นั้น จะอบอุ่นมิรู้วาย
และคำว่า "ลูกต่อ มาหาแม่หรือลูก..." นั้น
จะเรียกขวัญและกำลังใจสำหรับการดำเนินชีวิตของผมให้กลับมาอีกครั้ง
เหมือนกับทุกครั้งที่ผมเคยได้รับจากแม่เสมอมา
แม่จ๋า...ผมรักแม่ครับ...
....................................
ผมอ่านเรื่องนี้พร้อมน้ำตา
เรื่องนี้ผมเขียนไว้หลายปีแล้ว
ทุกวันนี้ ผมมีงาน มีชีวิตที่ดี มีหลักฐานที่ดี
แต่ผมไม่มีแม่
แม่จากผมไปแล้ว..
แม่จ๋า..ผมคิดถึงแม่ครับ..
เมื่อวันที่ : 02 ส.ค. 2548, 12.41 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...