![]() |
![]() |
รไมยา![]() |
ตัวเล็กเล็กอยู่ริมหน้าต่าง
มองออกไปสู่โลกกว้าง
เพียงไม่กี่ตารางวา
ไม้ใหญ่ร่มครึ้ม
สะพานขรึมทอดยาวไปเบื้องหน้า
ในสระน้ำมีเต่าปลา
มีเรือจอดท่าเหมือนรอใคร..."
ตัวหนังสือที่พยายามบรรจงเขียนอย่างเป็นระเบียบนั้นปรากฏ บนกระดาษขาวซึ่งบัดนี้เปลี่ยนสีด้วยผ่านกาลเวลาอันยาวนาน มันซุกตัวเงียบๆ ภายในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือที่เคยเป็นมุมโปรดของเธอในวันเยาว์วัย
เธออ่านทวนข้อความซ้ำอีกครั้ง แล้วน้ำตาก็ร่วงพรู มือหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาจากก้นลิ้นชัก ก้าวตรงไปที่หน้าต่างบานนั้น ส่งสายตามองไปยังภายนอก สิ่งที่เห็นไม่แตกต่างไปจากบทกลอนที่หัดขีดเขียนเล่นในวัยเด็ก เพียงแต่ว่าโลกไม่กว้างอย่างที่เคยเห็น แต่ต้นไม้ใหญ่น้อยยังสะพรั่งใบ แผ่กิ่งก้านให้เงาร่มครึ้มร่มรื่นชวนมอง ดูเปลือกที่ลำต้นสิ สะสมริ้วรอยชีวิตมากกว่าเธอเสียอีก จากมุมนี้เองเธอเห็นสะพานไม้ทอดยาวไปที่สระน้ำซึ่งบัดนี้ดูแคบและตื้นเขิน ไร้เงาเรือที่เคยผูกโยงไว้ปลายเสาที่ท่าน้ำ เธอไม่อาจรู้ได้ว่าสายน้ำที่เห็นนั่น มีชีวิตใดว่ายวนอาศัยอยู่บ้าง แต่เธอเคยเห็นทั้งเต่าและปลาตัวใหญ่น้อยในวันเวลาเก่าๆ นั้น
"เมื่อฉันเป็นเด็ก....."
เสียงที่เปล่งถ้อยคำออกมาซ้ำอีกครั้งนั้น ไม่ได้มาจากกระดาษในมืออีกแล้ว หากมาจากความทรงจำที่ฝังลึก เพียงถูกสะกิดก็พรั่งพรูได้จนจบเนื้อความ
คราวนี้หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา แล้วใช้เรียวนิ้วแตะแต้มหยดน้ำใสที่ปริ่มตาให้แห้งหายก่อนจะมองผ่านหน้าต่างบานนี้ไปอีกครั้ง ไปยังภาพที่ไกลแสนไกล...
"ถ้าหนูเอาแต่ยืนมองหน้าต่าง ชีวิตหนูจะสั้นลงนะ"เสียงแม่ติงอยู่ด้านหลัง
"ทำไมล่ะจ๊ะแม่"
"ก็มันทำให้หนูนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะสิ มานี่มาช่วยแม่ทำขนม"
เธอเห็นแม่ใส่ถั่วกวนลงในแบบพิมพ์แล้วกดทับ นึกสนุกจึงเดินมานั่งข้างๆ แล้วทำบ้าง หยิบแบบพิมพ์วงกลมขึ้นมากดพิมพ์ลงไปยังเนื้อถั่วแล้วในที่สุดเธอก็ได้วงกลมตั้งหลายวง
แม่ไม่เคยมือว่างเลย เสร็จจากงานบ้านใหญ่แล้วก็ต้องมาจัดการเรื่องราวภายในบ้านหลังเล็ก แม่จะทำขนมใส่ตะกร้าออกไปเดินขายในซอย ไปตามซอกเล็กซอกน้อยแล้วแต่เส้นทางจะทะลุถึงแล้วจะกลับมาพร้อมเงินในมือแล้วแม่ก็จะเก็บมันไว้ในกล่อง
"นี่จะเป็นค่าเล่าเรียนของลูก ลำพังเงินเดือนที่แม่ทำงานบ้านใหญ่ไม่พอหรอกนะ"
หญิงสาวอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ให้เหมือนเด็กในครั้งกระนั้น ที่อะไรก็คับข้องใจไปเสียหมด แต่เธอผ่านสภาวะนั้นมาแล้ว ตอนนี้หากจะเสียน้ำตาก็เพราะคิดถึงแม่อย่างเหลือเกินเท่านั้นเอง
เธอยิ้มมองกระดาษสีเหลืองกรอบในมือที่แม่ไม่ยอมเก็บทิ้งเหมือนตัวหนังสือโย้เย้บนผนังแม่ไม่เคยลบทิ้ง มันยังปรากฏข้อความให้เห็น บ้านของฉัน.... มีชื่อเธอ ชื่อน้องสาว ชื่อแม่ แล้วจบลงที่ชื่อนั้นเอง บ้านที่ประกอบด้วยคนสามคน นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต
บัดนี้เธอกลับมาที่นี่แล้ว มาย่ำริ้วรอยเก่าๆ ที่ประดุจแผลเป็นในชีวิต ลบก็ไม่หาย ไม่มียาขนานใดในโลกรักษาหายหรือใช้กรรมวิธีใดๆ ทำให้ริ้วรอยลบเลือนไป...
เหมือนที่ก้าวเดินจากที่นี่ไปเมื่ออายุเพียง 12 ปี ด้วยความคิดที่ว่าเมื่อมีปีกก็จงใช้มัน แล้วนกตัวนี้ก็สยายปีกบินไปสู่ฟ้ากว้าง...
หญิงสาวรีบเกลี่ยน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ เธอหันไปยิ้มให้เมื่อร่างนั้นปรากฏที่ประตู
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงต่ำจนพ้นขอบประตู เขาก้าวเข้ามามองรอบๆ ห้อง
"ห้องที่คุณเคยอยู่หรือ"เขาถาม
"ค่ะ ห้องเล็กๆ ที่มีหน้าต่างเพียงบานเดียว หน้าต่างที่เปิดโลกให้แก่ฉัน"
เขาเดินมาหยุดยืนข้างเธอแล้วก้มมองออกไปภายนอก
"วิวสวยนะ"เขาพูดยิ้มๆ แล้วยืดตัวตรงดังเดิม ร่างเขาสูงใหญ่จึงไม่อาจกลมกลืนกับสถานที่แห่งนี้ที่ทั้งเล็กและแคบ แต่น่าแปลกมันกลมกลืนกับชีวิตของหญิงสาวได้อย่างลงตัว แน่ละ มันเป็นที่ก่อเกิดชีวิต ความรัก ความขมขื่นปวดร้าวและความฝันอันเรืองรองของเธอมาอย่างยาวนาน
การสิ้นลมหายใจของแม่ทำให้เธอกลับมาที่นี่ แม้ไม่ทันลมหายใจสุดท้ายแต่เธอก็รู้ดีว่า แม่ไม่ปรารถนาจะเคลื่อนไหวลมหายใจผ่านร่างที่ไม่ต้องการอีกแล้ว แม่เพียงพอกับชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
"ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ เราเสียน้ำตามามากพอแล้ว" แม่ย้ำเสมอยามที่เธอรู้ว่าแม่เจ็บป่วยและมีวันเวลาที่จะพูดคุยกับเธอน้อยลง
หญิงสาวหันมาเปิดตู้ หยิบข้าวของที่คิดว่าจะเก็บเป็นที่ระลึกของแม่ได้ใส่ลงกระเป๋า นอกเหนือจากนั้นน้องสาวเธอได้บรรจุลงในกล่องเพื่อนำไปบริจาคอีกที เขาช่วยยกกล่องไปวางที่นอกชาน เธอเองยกไปสมทบวางอีกกล่องหนึ่งพลางส่งสายตามองไปที่เรือนหลังใหญ่ครึ่งตึกครึ่งไม้หลังนั้น
"เห็นอะไรไหมคะ วันนี้มันแปลกออกไป"
"ทำไมหรือ"เขามองตามสายตาเธอ
บ้านใหญ่หลังนั้นอยู่ตรงกลางบ่งบอกถึงความเป็นศูนย์รวมภายในอาณาจักรแห่งนี้ แวดล้อมด้วยบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกอยู่รายรอบอีกสามหลัง เรือนไม้หลังเล็กๆกระจายตัวอยู่ด้านหลัง มันเป็นเรือนคนใช้มีสภาพเหมือนกับที่เขายืนอยู่
"ผู้ชายคนนั้นเขาอยู่ที่นั่น เขาลากเส้นล้อมรอบตัวเขาด้วยวงกลมวงใหญ่"เสียงหญิงสาวเริ่มต้นขึ้น
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเข้าไปทำความเคารพแม้อีกฝ่ายจะไม่พยายามรับรู้ว่าเขาเป็นใคร
"บ้านสามหลังนั่นเป็นของลูกชายกับลูกสาวเขา นั่นคือวงกลมวงใหญ่อีกวงที่แม่สั่งนักสั่งหนาไม่ให้เข้าใกล้ เขา...ผู้ชายคนนั้นเริ่มขีดเส้นรอบวงเมื่อฉันลืมตาดูโลก และบัดนี้วงกลมวงนั้นก็ยังคงอยู่ ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่ฉันไม่ไปหาเขาเหมือนที่คุณไป"
เขานิ่งฟัง
"เรือนไม้ผุพังหลังนั้น"เธอชี้ให้เขาดู "เป็นเรือนที่พี่มิ่งเคยอยู่ก่อนที่เขาจะหนีไปจากที่นี่ และนี่เป็นวงกลมอีกวงหนึ่งที่เขาสร้างขึ้นมา เหมือนเรือนหลังนี้"
"พี่มิ่งเป็นใครหรือ"
"พี่ชายฉันค่ะแต่คนละแม่ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก เขาไม่มีใครเหลือไว้ในความทรงจำ เขาถึงไป ฉันเองก็จากที่นี่ไปอยู่กับคนที่หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้และทำให้ฉันมีโอกาสไปเรียนเมืองนอกและพบคุณ ฉันกลับมาแต่พี่มิ่งไม่เคยกลับมาอีกเลย ตอนนี้คุณคงเข้าใจสภาพชีวิตฉันถ่องแท้แล้ว ฉันกับพี่มิ่งไม่ต่างกัน เราเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขที่เกิดจากการได้คนใช้ไปเป็นที่ระบายความใคร่ของเขา"
เธอไม่เคยลืมภาพที่แม่ผละวงแขนที่ให้ไออุ่นเธอและน้องสาวไปในยามดึก แม่ลงจากเรือนไปที่บ้านใหญ่นั่นและกลับลงมาในตอนใกล้สว่างเสมอ มันเป็นเช่นนั้นทุกวันคืน
"คุณนายบ้านใหญ่สิ้นลมแล้ว คราวนี้สามแม่ลูกคงสบายได้สักที"
"เอ ทำไมยังขายขนมอีกล่ะ คุณปรีชาเขาไม่รับเลี้ยงหรือ"
"ใครเขาจะไปยอมรับเล่า เจ้ามิ่งมันถึงหนีไปไง"
"นี่ก็เหลือแม่โสภาเป็นเมียอยู่คนเดียว ไม่ยกย่องก็ไม่เป็นไร แต่น่าจะจุนเจือเด็กๆ พวกนี้บ้าง ลูกเหมือนกัน"
"ไม่เหมือนหรอก ถ้าเหมือนก็เข้าโรงเรียนฝรั่งไปแล้วสิ ไม่มาเดินต๊อกต๋อยไปโรงเรียนวัดนี่หรอก"
เธอผ่านมาแล้วกับสายตาทุกคู่ของเพื่อนบ้านและจดจำได้ดี แม้การกลับมาครั้งนี้พวกเขาจะมีแววตาที่เปลี่ยนไป ไม่สมเพชเวทนาเหมือนเก่า
"ทีนี้คงเข้าใจแล้วนะคะว่าทำไมฉันถึงพาคุณเดินผ่านตรอกแคบๆ เพื่อมาพบประตูเล็กและพาคุณเดินมาทางนี้ มันเป็นเส้นทางที่เราแม่ลูกใช้เดินเข้าออกทุกวัน และเมื่อคุณก้าวผ่านพ้นมา คุณถึงได้ตะลึงกับเนื้อที่อันกว้างใหญ่ไพศาลของบ้านหลังนี้ เพราะวงกลมวงนั้น....มันล้อมกรอบให้ฉันและน้องรู้ว่าจุดไหนเราก้าวเดินได้หรือไม่ได้ ฉันถึงชอบโลกภายนอกนั่น โลกที่อยู่นอกประตูบานนั้น เราสามารถก้าวเดินได้อย่างอิสระและยาวไกลด้วยลมหายใจของเราอย่างแท้จริง"
หญิงสาวยังคงยิ้มให้ชายคนรักแม้ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยจะแฝงด้วยความขมขื่นของอดีตที่ผ่านมา
เธอมองไปที่ระบียงกว้างของบ้านหลังนั้น บัดนี้มันไร้เงาใครสักคนที่ควรจะอยู่ที่ตรงนั้นบนเก้าอี้โยก
"ลูกพ่อ ส่งเสียงหน่อยลูก น่าน ยังง้าน...ลูกพ่อเสียงหวานจังเลย เอ้ากินลูก กินนะ พ่อป้อนให้....ไหนพูดซิ พ่อจ๋า สวัสดีจ้ะ...พ่อจ๋า สวัสดีจ้ะ"
เธอคุ้นกับภาพนั้น ภาพที่เขาพูดคุยกับนกสีสวยๆ ในกรงที่แขวนอยู่ตามขื่อ แล้วเปิดช่องเล็กป้อนอาหารใส่ปากมันทุกวัน
เสียงนั้น คำพูดที่อ่อนโยนนุ่มนวลเหล่านั้นไม่เคยมีมาถึงเธอและน้องสาว ไม่แม้แต่เหลือบสายตามองมายังเรือนเล็กหลังนี้ด้วยซ้ำ
ถัดไปนั่นมีมุมกล้วยไม้ราคาแพง มันออกดอกงามสะพรั่ง สีสวย เขามักส่งสายตาชื่นชมและชี้ชวนให้ทุกคนที่แวะมาเยือนชื่นชมไปกับเขาด้วย...สรรพสิ่งที่อยู่รายรอบตัวเขามันบ่งบอกให้เธอรู้ถึงค่าที่แตกต่างกัน อะไรที่มีค่าและอะไรคือสิ่งไร้ค่าในสายตาเขา...
"ความตายของแม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เขายกเรือนพี่มิ่งให้น้องและยกเรือนหลังนี้ให้ฉัน" หญิงสาวยิ้มที่มุมปาก
เขาทำไปเพื่ออะไร...เพื่อวงกลมของเขาจะได้มีอยู่อย่างนั้นหรือ...
"แล้วคุณคิดว่าไง"
"ถ้าฉันต้องการคงไม่กลับมาขนของไปอย่างนี้หรอกค่ะ"เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
"เรากลับกันเถิดค่ะ"เธอเอ่ยชวน "แต่เราจะไม่กลับทางเก่าที่เรามาแล้วนะคะ วันนี้ฉันอยากเดินออกไปจากบ้านหลังนี้อย่างสง่าผ่าเผย เราจะไปที่ประตูใหญ่กัน มันใกล้กับรถที่คุณจอดไว้มิใช่หรือ"
เธอพาเขาเดินผ่านสวนสวยกว้างใหญ่ ผ่านบ้านอีกสามหลัง บ้านที่น่าอยู่ มีสีสันสดสวยและดูใหม่เสมอไม่เคยผุพังไปตามกาลเวลา
"เงียบมากเลย"
"คงไม่มีใคร คุณป้องย้ายไปอยู่บ้านของตัวเอง คุณปีไปอยู่คอนโดฯ นานๆ เขาจะกลับมาทีหนึ่งมังคะ คุณจำผู้หญิงที่ชื่อสลิลลาได้ไหมคะ เธอคือคุณป่านที่อยู่บ้านหลังนี้"
"คนที่เรียนที่เดียวกับคุณ"
"ค่ะ"
"งั้นเธอก็คือพี่สาวคุณน่ะสิ"
"ค่ะ โดยสถานะเธอน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่คุณก็รู้ เธอไม่เคยพูดกับฉัน แค่ฉันสอบชิงทุนได้และได้เรียนที่เดียวกับเธอที่อเมริกานั่นก็ทำให้เธอรู้สึกแย่พอแล้ว ยิ่งตอนนี้ฉันเรียนจบกลับมาก่อนเธอ คุณคิดว่าเธอจะรู้สึกเช่นใด"
เขามองเธอและนึกถึงวันเวลาที่เธอผ่านอะไรมามากมาย
เขาจำประโยคที่เธอเขียนลงในด้านหลังหนังสือเล่มหนึ่งที่มอบให้แก่เขาได้
"He drew a circle that shut me out
But love and I have the wit to win him,
we drew a larger circle to take him in."
"ที่รักของผม ลืมเสียเถิดนะ ลืมวงกลมเก่าๆ ของคุณได้ไหม เราสร้างวงกลมใหม่ได้นี่ วงกลมของเรา"เขาพูดเหมือนจะปลอบโยน
"ให้ฉันลืมหรือคะ เรื่องราวในชีวิตฉันมันยากที่จะลืมได้นี่ เขาว่าเรื่องที่เราอยากลืมมักกลับจำ เรื่องที่อยากจำก็กลับลืม งั้นฉันคงต้องใช้วิธีเอาหนามบ่งหนามสินะ ฉันจะบอกตัวเองทุกวันว่า ฉันจะจำๆ และฉันจะจำ เพื่อจะได้ลืมมันในที่สุด"เธอแค่นยิ้ม
"ผมจะแวะไปกราบลาท่าน มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำ"เขาบอกเธอเมื่อเดินมาถึงบ้านใหญ่
ชายชราร่างบางยืนเกาะราวระเบียง เขามีทีท่าเหมือนรอพบใครสักคน
"ไปกับผมนะ ครั้งสุดท้าย"เขาขอร้อง
เธอยืนนิ่งราวกับรูปปั้น มีเรื่องอะไรที่ควรขอบคุณเขา อ้อ เขายอมจัดงานศพให้แม่และการเอ่ยปากยกสิ่งไร้ค่าให้ เธอควรขอบคุณเขาสินะ แต่แล้วร่างเธอก็ไม่ขยับเคลื่อนไปจากที่ ความคุกรุ่นภายในกระมังที่สั่งสมอย่างยาวนานจนเป็นความแปลกแยกเหมือนวงกลมแต่ละวงที่ไม่เคยมีเส้นสัมผัสวงแตะกันได้เลย เธอยืนนิ่งแม้จะเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนตัวลงบันไดมาทีละก้าว
เขารับไหว้ชายหนุ่มและส่งสายตามาที่เธอ
"อยู่ที่นี่กับพ่อเถอะ"
เธอได้ยินเสียงนกขานรับด้วยประโยคที่เขาสอน แน่ละไม่ใช่เสียงของเธอ!
เมื่อวันที่ : 27 ก.ค. 2548, 08.41 น.
รไมยา บอกกับลุงเปี๊ยกว่า อยากได้คำแนะนำ และวิจารณ์งานเขียน เธอแน่ใจหรือ? อยากบอกว่า จงมั่นใจในตัวเองให้มาก เท่าที่ผ่านมาคำวิจารณ์ทำลายนักเขียนไปเยอะแล้ว ผู้วิจารณ์จะมองงานเขียนในทัศนะของตน มองแบบเทียบเคียงกับประสาการณ์ส่วนตัว หรือเทียบเคียงกับรสนิยมของตน
แม้แต่ผู้รู้ หรืออาจารย์ผู้สอนการประพันธ์ เค้าอาจวิจารณ์งานเขียนตามตำรา เปรียบเทียบองค์ประกอบของเรื่องได้อย่างมีหลักเกณท์อย่างถูกต้อง แต่มันก็เป็นเพียงการประเมินกับสิ่งที่เคยมีมาก่อน หรือผูกโยงกับสิ่งที่เป็นค่านิยม
วรรณกรรมเป็นหนึ่งในศิลปะห้าแขนง และไม่เคยมีใครกำหนดหลักเกณท์ของศิลปะได้จริงๆ ดังนั้นเธอจงรับฟังคำวิจารณ์ในฐานะที่มันเป็นเพียงลำดับความคิดของผู้อ่านคนหนึ่ง หยิบเฉพาะสิ่งที่เธอจะนำไปใช้ประโยชน์กับงานเขียนชิ้นต่อไป อย่าได้เอาคำวิจารณ์ใด ๆ มาตัดสินความเป็นนักเขียนของเธอ
สำหรับงานเขียนของเธอชิ้นนี้ ในมุมมองของลุงเปี๊ยก ขอวิจารณ์ดังนี้
๑. หากมองว่าเป็นเรื่องสั้น เรื่องสั้นเรื่องนี้สามารถเขียนให้กระชับกว่านี้ได้อีก
๒. มีแนวคิดที่ดี ในการใช้วงกลมเป็นสัญลักษณ์แทนกรอบชีวิตของตัวเอก แต่ภาพวงกลมที่เกิดในใจคนอ่าน ยังไม่ชัด
๓. เรื่องมีความขัดแย้ง (conflict) แต่ไม่มีไคลแม๊กซ์ อารมณ์ของเรื่องจึงราบเรียบตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
เขียนไป ๓ ข้อลุงเปี๊ยกรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายแล้วครับ
คำแนะนำคือ อยากให้ลองเล่นกับอารมณ์คนอ่านสักหน่อย ถ้าเราเขียนโดยมองอารมณ์ของตัวละครอย่างเดียว ผู้อ่านที่ไม่เคยมีประสบการณ์คล้ายกับตัวละครมาก่อนจะไม่มีความรู้สึกร่วม นักเขียนผู้ชำนาญมักจะปั้นแต่งอารมณ์ผู้อ่านอย่างตั้งใจ เหมือนดั่งการประดิษฐ์ประติมากรรมทางอารมณ์ครับ
แต่ก็นั่นแหละ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพียงความคิดเห็นของคนอ่านที่ชื่อลุงเปี๊ยกเท่านั้น