...ผมฉีกจดหมายฉบับนั้นออกเป็นชิ้นๆ.... แค่นี้ยังไม่สะใจนักอุดมการณ์อย่างผม ผมเอาเศษกระดาษที่เคยเป็นจดหมายของเธอใส่ซองจดหมายอีกซองหนึ่ง แล้วเขียนจ่าหน้าซองถึงเธอ ส่งไปรษณีย์กลับคืนไปให้วันนั้นเลย...

แม่น้ำโขงไหลเอื่อยอยู่หน้าอำเภอที่ผมทำงาน เกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว ผมพลิกหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ดูเพื่อรอเวลาเลิกงาน พลิกๆดูไปอย่างนั้น ใจยังนึกถึงคำพูดของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเมื่อสองอาทิตย์ก่อน

"เหลืออีกไม่กี่ปีลื้อก็จะเกษียณแล้ว ยังเป็นแค่ปลัดอาวุโส รุ่นเดียวกันเขาไปไหนๆกันหมดแล้ว แต่ถ้าลื้อยังกินเหล้าอยู่ก็จะไม่ได้อยู่จนถึงเกษียณหรอก" ...

"อั๊วได้รับรายงานเรื่องของลื้ออีกแล้ว อั๊วจะไม่ตั้งกรรมการสอบวินัยอีก แต่จะให้ลื้อเลือกว่าจะเลิกเหล้าแล้วทำงานรอรับบำนาญหลังเกษียณ หรือจะกินมันต่อไปแล้วโดนไล่ออก อั๊วนี่แหละจะไล่ลื้อออก ! " แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

"เลือกเลยเพื่อน อั๊วช่วยลื้อไม่ไหวอีกแล้ว !" ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตบโต๊ะเสียงดังปังใหญ่ ยื่นคำขาดเป็นการส่วนตัวกับผมที่ศาลากลางจังหวัด ท่านเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนและร่วมรุ่นที่สอบเข้าเป็นปลัดอำเภอพร้อมกับผม

ผมกำลังยืนอยู่ตรงพรมแดนระหว่างการทำงานจนครบเกษียณอายุหรือถูกไล่ออกก่อน มี "เหล้า" เป็นเส้นแบ่งพรมแดน

ความจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีปัญหาแบบนี้ ในชีวิตราชการผมเคยถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยสองครั้ง ถูกตักเตือนสองครั้ง ไม่ได้เงินเดือนขึ้นสองครั้ง
และเรื่องล่าสุดที่ถูกท่านผู้ว่ายื่นคำขาดก็คือ ผมไม่ไปควบคุมชาวบ้านมาชูป้ายต้อนรับรัฐมนตรีที่มาตรวจราชการ และเรื่องนี้เป็นการกระทำผิดครั้งที่สองของผมด้วย

อันที่จริงของเรื่องนี้ไม่ใช่ตื่นสายเพราะกินเหล้าดึกไป แต่ผมตั้งใจจะไม่ทำ ผมรังเกียจที่จะไปเกณฑ์ชาวบ้านมาชูป้ายต้อนรับนักการเมืองที่เขาเองเป็นคนซื้อเสียงเข้ามา ผมไม่ชอบการเลียแข้งเลียขาผู้ใหญ่ ไม่ชอบรับใช้นักการเมือง

อย่างไรก็ตามผมแก้ตัวว่าไม่สบายมากจนลุกไม่ขึ้น เสียใจอยู่เหมือนกันที่ไม่กล้าพูดสิ่งที่อยากพูด เพราะมันจะไปกระทบหลายฝ่าย รวมทั้งนายผู้หวังดีกับผมด้วย ว่ากระทรวงมหาดไทยเลี้ยงไอ้ปลัดขี้เมาหัวแข็งคนนี้มาตั้งนานนมได้อย่างไร...

ในชีวิตราชการ ผมอยู่ตามอำเภอชายแดนมาตลอด ที่ไหนไกลๆละก็เขาจะเตะโด่งผมไปอยู่ที่นั่น ! แม่สอด อุ้มผาง ท่าสองยาง แม่ระมาด ขุนยวม เชียงของ ยังมีที่อื่นๆอีก ล้วนแต่ชายแดนทั้งนั้น ... เป็นมันอยู่แค่ปลัดอำเภอ เพิ่งจะได้เลื่อนเป็นปลัดอาวุโสก็ที่นี่แหละ แต่มันก็ปลัดอยู่ดี ชีวิตผมต้องอยู่ตามแนวพรมแดนอย่างนี้เสมอหรือ !

ผมเลือกที่จะทำงานต่อไปเพื่อรอรับบำนาญ และสัญญากับท่านผู้ว่าว่าจะเลิกกินเหล้าเด็ดขาด ผมไม่ได้นึกถึงตัวเองสักเท่าไรหรอกเพราะตัวคนเดียวอยู่แล้ว แต่นึกถึงบุญคุณของท่านผู้ว่าเพื่อนผม ท่านอุตส่าห์หาทางช่วยผมมาหลายครั้งเพราะเราเรียนมาด้วยกัน ผมไม่อยากให้ท่านผิดหวังและต้องเสียไปมากกว่านี้

สองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมต้องทนทรมานกับการอดเหล้าเป็นครั้งแรก แต่ก็เริ่มจะปรับตัวกับชีวิตใหม่ได้บ้างแล้ว นายอำเภอหนุ่มซึ่งเป็นนายโดยตรงของผมนี่แหละ เป็นคนพาผมไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะท่านผู้ว่าสั่งกำชับให้เป็นหน้าที่ของเขา

"คุณไปจัดการอย่าให้เขากินเหล้าอีก พาเขาไปหาหมอเสีย กระทรวงเรามีคนเก่งมากแล้ว แต่ยังมีคนซื่อสัตย์และมีอุดมการณ์น้อยเกินไป อย่าให้ผมต้องไล่เขาออกเพราะเรื่องเหล้าเลย" นายอำเภอเล่าให้ผมฟังในสิ่งที่ท่านผู้ว่าสั่งเขา

"ปลัดต้องหยุดกินเหล้าเด็ดขาดตั้งแต่วันนี้" หมอบอกกับผมหลังจากตรวจดูอาการ เขาเอาไม้เที่ยวเคาะไปตามแขนตามขาและตามข้อต่างๆของผม ให้ผมเหยียดนิ้วมือออก ผมเห็นมันสั่นระริก

"ตอนนี้ปลัดยังอยู่แค่อาการติดสุรา ถ้าปล่อยไว้อีกไม่นานมันจะกลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่วันนี้ก็จวนแล้วนะครับ" หมอบอกผมต่อหน้านายอำเภอ แล้วก็สั่งยาให้ผม เขาสั่งให้ผมออกกำลังกายทุกวันด้วย และให้มาตรวจใหม่ในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า...

อีกครึ่งชั่วโมงก็จะเลิกงานแล้ว เดี๋ยวผมก็จะกลับไปบ้านพักที่รกเหมือนรังหนูหลังอำเภอ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวชุดออกกำลังกาย แล้วไปเต้นแอโรบิคกับชมรมผู้สูงอายุ มันช่วยระงับความทุรนทุรายที่อยากกินเหล้าได้พอใช้เมื่อกินยาที่หมอให้มาร่วมด้วย

ผมมีฉายานามที่เขาเรียกกันลับหลังหลายชื่อ ผมรู้ ! "ปลัดสรรพสามิต" บ้าง "แม่โขงเดินได้" บ้าง "สิงห์ตับเหล็ก" บ้าง สารพัดที่ใครๆจะเรียก ผมจะลบฉายาพวกนี้ออกไปและจะเป็นปลัดคนใหม่เมื่ออายุห้าสิบเจ็ดปีให้ได้

ผมพลิกหนังสือพิมพ์ไปถึงหน้าข่าวสังคม กวาดตาไปเรื่อยๆ จนได้พบภาพข่าวสังคมในกรอบหนึ่ง มีรูปนักศึกษาสาวในชุดเสื้อครุยปริญญา ดูคุ้นหน้ามากเหมือนกับเคยรู้จักที่ไหนมาก่อน ! ผมอ่านคำบรรยายใต้ภาพ "รับพระราชทานปริญญาวันนี้ น.ส....บัณฑิตใหม่เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง บุตรสาวคนเดียวของพลเอก...และคุณหญิง..."

ผู้หญิงในเครื่องแบบนักศึกษาคนหนึ่ง ผุดขึ้นมาในมโนภาพของผม... ผิวเธอขาวร่างเล็กแบบบาง สวยเรียบๆแต่มีจุดเด่นอยู่ที่นัยน์ตาที่งามประหลาด หน้านั้นเหมือนกับภาพนักศึกษาในหนังสือพิมพ์ที่ผมกำลังดูอยู่ไม่ผิดเพี้ยน ! ผมนึกได้แล้ว เพื่อนเก่าของผมนั่นเอง แม่ของบัญทิตสาวคนนี้ คุณหญิง...

เกือบสี่สิบปีมาแล้วที่เรารู้จักกันในฐานะเพื่อนนักศึกษาสถาบันเดียวกัน จะต่างกันก็แต่คณะที่เรียนเท่านั้น เรามีอะไรที่ชอบเหมือนๆกันหลายอย่าง เธอชอบอ่านหนังสือผมก็ชอบอ่านหนังสือ ผมชอบฟังเพลงเธอก็ชอบฟังเพลงเราไปด้วยกันได้ดี

มีบางอย่างที่ความชอบของเราห่างกันออกไป เธอชอบโคลงกลอนเป็นชีวิตและเป็นนักกลอนชื่อดังอยู่ในชมรมวรรณศิลป์ของสถาบัน ...ผมแค่พอรับได้ ผมชอบเล่นกีฬาเป็นชีวิต เป็นนักกีฬาของสถาบัน และเป็นนักกิจกรรมค่ายอาสา...เธอรับได้กับสองเรื่องนี้

เธอแบบบางเกินไปสำหรับเรื่องการกีฬาและการออกค่าย แต่ก็จะมานั่งริมสนามดูผมแข่งกีฬาแทบทุกครั้ง และสำหรับเรื่องค่ายอาสาเธอจะให้ผมเล่าเรื่องต่างๆเมื่อผมกลับมาและฟังอย่างตั้งใจ

สองปีที่เราเป็นเพื่อนกันมา ผมกับเธอสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในครึ่งปี สุดท้ายก่อนที่เราจะเรียนจบ ผมจะพบกับเธอทุกวันอาทิตย์ เพื่อไปเดินหาซื้อหนังสือด้วยกัน บางครั้งเธอจะชวนผมไปฟังคอนเสิร์ตของวงดนตรีกรมศิลปากร เรานั่งกันที่สนามหญ้าหน้าสังคีตศาลาข้างสนามหลวง...ผมกำลังย้อนรอยของอดีต !

"...นี่ถ้าใครไม่รู้คงจะนึกว่าเราเป็นแฟนกันนะนี่" ผมเอ่ยขึ้นลอยๆในวันหนึ่งขณะที่กำลังฟังเพลง

"เธอกลัวหรือ ! ถ้าเขาจะคิดอย่างนั้น ?" เธอคนที่เดี๋ยวนี้เป็นคุณหญิงหันมาถามผม แล้วก็หัวเราะชอบใจในคำถามของตัวเอง อารมณ์ดีและอ่อนหวาน ให้อภัยคน มองโลกในแง่ดีเสมอ นั่นคือเธอ !

ส่วนผมจริงจังกับชีวิต ไม่ยอมใครแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆถ้าผมเห็นว่าถูกต้อง ผมเลือกความถูกต้องมากกว่าความถูกใจ เพื่อนๆตั้งฉายาผมว่า"ไอ้จอมหลักการ"

แต่เราก็เป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ ผมไม่เคยคิดชอบเธอมากกว่าการเป็นเพื่อนเลย มิตรภาพของผมหยุดอยู่ตรงแดนต่อแดนระหว่างความเป็นเพื่อนกับความเป็นคนรัก ไม่กินแดนไปกว่านั้น

เธอดูจะมีข้อด้อยอยู่ข้อเดียวซึ่งนักกีฬาจอมหลักการอย่างผมไม่ยอมข้ามแดนนั้นไป ชีวิตของเธอมีแต่ความหอมหวานและค่อนข้างจะเพ้อฝัน เธอเห็นแต่โลกที่สวยงาม และสายรุ้งที่สดใสเสมอ !...

ผมไม่ชอบเด็กขายพวงมาลัยตามสี่แยก และที่มาเดินขายในร้านอาหารเพราะมันทำให้สังคมไม่เป็นระเบียบ แต่เธอกลับเรียกมาซื้อแถมยังชวนคุยเสียอีก กลอนที่เธอเขียนแม้จะไพเราะงดงามแต่ก็ไม่ทำให้เกิดความรู้ขึ้นมา มันไม่ทำให้คนหายจนได้

เธอยังไม่ได้คิดว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะไปทำอะไร ในขณะที่ผมมีเป้าหมายอยู่แล้วตั้งแต่สอบเข้ามาเรียน เธอไม่มีอุดมการณ์ในชีวิต ! "อุดมการณ์" คือเส้นพรมแดนของผมกับเธอ เธอคือดอกไม้ที่งดงามในแจกันซึ่งช่วยจรรโลงโลกให้สดชื่นได้บ้าง แต่มันไม่ทำให้คนจนท้องอิ่มได้เหมือนกับข้าวปลา

ในวาระสำคัญต่างๆ ผมจะได้รับจดหมายจากเธอเสมอ ในวันเกิดของผม วันขึ้นปีใหม่ รวมทั้งวันเทศกาลหรือวันเฉลิมฉลองอะไรก็ตาม ในจดหมายเป็นคำกลอนที่บรรยายถึงเรื่องราวที่เธอรู้สึก ไพเราะอย่างที่นักกลอนเอกของชมรมวรรณศิลป์จะพึงแต่งขึ้นได้

และวันหนึ่ง วันที่ฝนพรำ ! ผมกำลังแข่งกีฬาอยู่ มีคนใจถึงยืนกรำฝนดูกีฬาอยู่ไม่กี่คน ผมเห็นเธอยืนกางร่มอยู่กลางสายฝนดูผมเล่นอยู่ด้วยคนหนึ่ง .... ผมวิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

จากวันนั้น หากว่าต้องแข่งกีฬาโดยไม่มีเธอยืนหรือนั่งดูอยู่ข้างสนาม ผมจะรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป ...มันอะไรกันนี่ ! ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย ดินแดนแห่งความเป็นเพื่อนดูจะหดตัวเล็กลง จนผมแทบจะไม่มีที่ยืน ความใกล้ชิดที่ ยาวนาน ความอ่อนหวานน่ารัก และความใส่ใจที่เธอมีต่อผม ทำให้เส้นพรมแดนที่ขีดไว้แคบลงโดยไม่รู้สึกตัว

เมื่อใกล้สอบไล่ปีสุดท้าย ฤดูแข่งขันกีฬาจบไปแล้ว แต่กลับมีกิจกรรมที่นักศึกษาอย่างผมต้องเข้าไปร่วมด้วยโดยไม่คาดฝัน มันเป็นการต่อสู้ในเรื่องของอุดมการณ์ สิทธิและเสรีภาพ ผมบอกแค่นี้ก็แล้วกัน

กิจกรรมนี้ทำให้ผมไม่ได้พบกับเธอกว่าหนึ่งเดือน และในที่สุดมันก็จบลงโดยฝ่ายผมเป็นผู้แพ้ และอย่างยับเยิน ! ผมเจ็บปวดและท้อแท้กับชีวิต ความอยุติธรรมที่มีอยู่ในโลกนี้ยังคงผงาดง้ำอยู่ต่อไป ผมต้องการคนมาอยู่ข้างเดียวกับผมเพิ่มขึ้นอีก แล้วผมก็นึกถึงเธอที่ไม่ได้พบกันตั้งกว่าเดือน มีเรื่องมากมายที่ผมจะเล่าให้เธอฟัง

คืนนั้นผมรื้อจดหมายเก่าๆที่เธอเคยเขียนมาออกมาอ่านอีกครั้ง คราวนี้ รู้สึกว่ากลอนต่างๆนั้นช่างไพเราะอ่อนหวาน และผมพบว่ามีอะไรบางอย่างที่ซ่อนไว้อย่างลึกซึ้งซึ่งผมไม่สนใจจะรู้มาก่อน ผมต้องการใครสักคนที่จะช่วยรักษาแผลที่ได้รับจากสมรภูมิแห่งอุดมการณ์ เธอนี่แหละคือคนคนนั้น ! ผมรู้สึกว่าอยากจะข้ามพรมแดนที่ผมขีดเส้นไว้เอง ผมจะลองดูเมื่อพบเธออาทิตย์หน้า

แล้ววันรุ่งขึ้นผมก็ได้รับจดหมายจากเธอฉบับหนึ่ง มันเป็นคำกลอน อวยพรวันเกิดผม ใช่ ! วันนั้นเป็นวันเกิดผม แต่ผมยังบาดเจ็บและสับสนเกินกว่าที่จะจำวันเกิดของตัวเองได้ แต่เธอจำได้เสมอ

ตอนแรกของกลอนอ่อนหวานไพเราะอย่างเคย แต่ตอนหลังนี่สิ ! เนื้อกลอนบอกว่าขอให้ผมลืมเรื่องที่เจ็บปวดเสีย มันเป็นเพียงอุบัติเหตุของชีวิตเท่านั้น เธอขอให้ผมให้อภัยกับอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อความสามัคคี กลอนจบลงอย่างนั้น

อุบัติเหตุ ให้อภัย เพื่อความสามัคคี ! สามคำนี้แทงเข้าไปที่หัวใจของผม
พวกผมพ่ายแพ้และถูกเหยียบย่ำ แต่เธอกลับมาบอกผมให้ยอมสยบกับความอยุติธรรม หน้าผมร้อนวูบ ! โกรธอย่างบอกไม่ถูก หรือว่าเธอจะถือหางอีกข้างหนึ่ง เราไม่เคยคุยเรื่องนี้กันมาก่อนเลย ไม่รู้ละ ! ใครไม่อยู่ข้างผมก็ต้องเป็นศัตรูของผม !

ผมฉีกจดหมายฉบับนั้นออกเป็นชิ้นๆ ใช่แล้วเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เดียว ยังก่อน ! แค่นี้ยังไม่สะใจนักอุดมการณ์อย่างผม ผมเอาเศษกระดาษที่เคยเป็นจดหมายของเธอใส่ซองจดหมายอีกซองหนึ่ง แล้วเขียนจ่าหน้าซองถึงเธอ ส่งไปรษณีย์กลับคืนไปให้วันนั้นเลย

อีกสามสี่วันต่อมา ผมก็รู้จากเพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งว่า เธอเอาเศษจดหมายนั้นไปให้เพื่อนคนนั้นดู ... เธอร้องให้ !

"เธอบอกฉันว่าไม่ได้โกรธคุณหรอก แต่เสียใจที่คุณทำอย่างนั้น" เพื่อนหญิงคนนั้นบอกผม

"เธอเสียใจมากนะ ! ฉันไม่เคยเห็นเธอเศร้าอย่างนี้มาก่อนเลย เธอหยุดเรียนไปตั้งสองวัน " เพื่อนเธอคนนั้นบอกกับผมอีก

สติและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลับมาหาผมอีกครั้ง ผมรู้สึกผิด ผิดอย่างมาก ! ผมทำอะไรบ้าๆขนาดนั้นได้อย่างไรกับเพื่อนผู้แบบบางและอ่อนหวาน

มีการนัดหมายให้ผมกับเธอได้พบกันอีกเพื่อความสมานฉันท์และการเริ่มต้นใหม่ แต่มันกลับเป็นวันสุดท้ายที่เราได้พบกัน...

เธอนั่งสงบนิ่ง ดูพร้อมที่จะให้อภัยและรอการเริ่มต้นจากผม วันนี้ถ้าผมเพียงแต่เอ่ยปากขอโทษ มิตรภาพที่หยุดอยู่ชั่วคราวก็จะสืบสานต่อไป แล้วผมก็จะต้องข้ามดินแดนของความเป็นเพื่อนไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน วันนั้นผมรู้จักใจตัวเองดี เส้นพรมแดนนั้นเล็กลงราวกับเส้นด้าย

แต่ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจผม ...เธอแบบบาง อ่อนหวานและอ่อนไหว เห็นแต่ความสวยงามของโลก เหมือนดอกไม้งามบริสุทธิ์ในแจกันแก้ว ส่วนผมห้าว จริงจังกับชีวิต ผมเห็นแต่ความอยุติธรรมที่มีอยู่ในโลก ซึ่งจะต้องแก้ไขตามอุดมการณ์ที่ผมยึดมั่น

เราไม่มีทางจะข้ามไปยังดินแดนอีกฝั่งซึ่งดูประหนึ่งว่าโปรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แล้วเดินไปด้วยกันอย่างราบรื่นได้เลย ผมไม่อาจจะประคองแจกันดอกไม้ที่แบบบางและมีค่าฝ่าแดดร้อนและลมแรงไปตามถนนที่ขรุขระเป็นโคลนตมได้ ... ถ้าอย่างนั้นก็ให้มันจบลงเพียงวันนี้เถิด ! ผมเลือกอุดมการณ์ !

"ผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น" ผมบอกกับเธอสั้นๆเท่านี้ ผมใช้คำว่า เสียใจแทนคำว่าขอโทษ ... เธอพยักหน้าช้าๆ มีแววปวดร้าวฉายอยู่ในดวงตางาม และลึกลงไปผมได้เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ผมหันหลังกลับ เดินออกมาจากตรงนั้นอย่างขมขื่น รู้แก่ใจตัวเองดีว่าใจของผมได้ลอยข้ามเส้นพรมแดนนั้นไปแล้ว ช่างเถิด ! ผมให้มันไปได้แค่ใจเท่านั้น

...อีกไม่นานเราต่างก็สอบไล่ปลายปีสุดท้ายเสร็จ

ผมสอบเข้าเป็นปลัดอำเภอได้ และสอบได้เลขที่ตัวเดียวในจำนวนร้อยห้าสิบกว่าคน ผมออกท้องที่ไปทำงานตามอำเภอต่างๆอย่างมุ่งมั่นด้วยอุดมการณ์ และไม่เคยได้ข่าวของเธออีกเลยจนกระทั่งวันนี้

ตลอดเวลาที่ได้ระหกระเหินอยู่ตามชายแดน ผมพบว่าอุดมการณ์ของผมไม่สามารถจะใช้ได้กับกระทรวงนี้ เพราะผมไม่เคยเอากระเช้าดอกไม้ไปอวยพรผู้ว่าราชการจังหวัดในวันเกิดไม่ว่าผมจะอยู่จังหวัดไหน ผมหลีกเลี่ยงการจัดตั้งชาวบ้านไปยกป้ายเชียร์หรือด่าใครต่อใครที่ข้างบนสั่งมา ผมค้านสิ่งที่ไม่เห็นด้วยในที่ประชุมซึ่งไม่มีใครกล้าค้าน

ผมเกลียดการทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย และไม่เคยไปงานเลี้ยงต้อนรับ ผู้ใหญ่ที่มาตรวจราชการ ผมชอบนั่งกินเหล้ากับชาวบ้านตามร้านในตลาดและจะเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นกลับบ้าน ผมเป็นคนของประชาชน !

"ปลัดครับ เลิกงานแล้วผมจะปิดห้อง" เสียงนักการของอำเภอดังขึ้น

ผมเดินช้าๆลงจากอำเภอ จะกลับไปบ้านพักรังหนูเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดออกกำลังกาย นึกดีใจที่ผมไม่ได้ชวนเธอ ...เธอซึ่งตอนนี้เป็นคุณหญิงเดินข้ามพรมแดนแห่งความเป็นเพื่อนมาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง มิฉะนั้นป่านนี้เธอคงจะเป็นแค่ "คุณนาย" ของปลัดอำเภอซีเจ็ด ซากเดนของอุดมการณ์ซึ่งติดเหล้าอยู่ที่ชายแดน

ผมเดินผ่านร้านเหล้าริมแม่น้ำที่มีประชาชนของผมตั้งวงกันอยู่เหมือนทุกๆวัน มีเสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกผมให้เข้าไปร่วมขบวนการประชาพิจารณ์ด้วย

ผมกำลังคิดว่าวันนี้น่าจะมีการดื่มฉลองปริญญาให้กับ น.ส.... ลูกสาวคนเก่งของคุณหญิง ...เพื่อนเก่าผู้แสนดีของผม หมอคงไม่ว่าหรอกน่า ! ขออีกวันเดียวเท่านั้น ! ....O

เมื่อวันที่ : 20 ก.ค. 2548, 10.10 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...