![]() |
![]() |
รันนรา![]() |
...กรกาจพาเธอไปสถานที่แห่งหนึ่ง มืด เย็น หากสวยงาม
ประกายแสงเทียนวับแวมอยู่ในแก้วทรงแชมเปญ ซึ่งใส่น้ำสีฟ้าไว้เพียงครึ่งใต้ต้นโมกปลอมต้นนั้น เธอหลงรักผู้ชายตรงหน้าอย่างสุดหัวใจ...
กรกาจตัดสินใจโทรศัพท์หาภาวินีในวันหนึ่ง มีเสียงสัญญาณดังอยู่นานกว่าเธอจะรับสายประกายแสงเทียนวับแวมอยู่ในแก้วทรงแชมเปญ ซึ่งใส่น้ำสีฟ้าไว้เพียงครึ่งใต้ต้นโมกปลอมต้นนั้น เธอหลงรักผู้ชายตรงหน้าอย่างสุดหัวใจ...
"สวัสดีครับ รับช้าอย่างนี้แสดงว่าไม่ว่างล่ะสิ?"
"เปล่าค่ะ..แต่กำลังตะลึงที่พี่กรโทรหานีเป็นครั้งแรก คาดว่าวันนี้ฝนคงตก.."
เขาหัวเราะ
"ฝนตกหน้าหนาวเนี่ยนะ.."
"อ้าว..มันก็เป็นไปได้พอ ๆ กับที่พี่กรเป็นฝ่ายโทรหานี ปกตินีต้องเป็นฝ่ายโทรหา และก็จะได้ยินคำว่าไม่มีเสียงตอบรับจากเรียกหมายที่ท่านเรียกเสมอ..ว่าแต่ว่า..พี่กรมีอะไรหรือเปล่าคะ?"
เขาอึกอัก แต่ในที่สุดก็บอกเธอไป
"อยากทานข้าวด้วย นีว่างหรือเปล่า?"
"วาว.." เสียงน่ารักทางโน้นอุทานออกมา "พี่กรหลอกนีเล่นอีกแล้วใช่ไหม..พอใกล้ ๆ ก็โทร.มาแคนเซิลทุกที.."
"คราวนี้ไม่แล้วครับ พี่ว่างแล้ว..วันศุกร์นี้เป็นไง?"
"ได้ค่ะ.." เสียงตอบรับมาทันทีอย่างเต็มใจ "กี่โมงดี และที่ไหนคะ?"
ก่อนวางหูเขายังได้ยินเสียงตอกย้ำจากเธอ
"พี่กรสัญญาแล้วนะคะ..ว่าจะไม่แคนเซิล..ฉะนั้นนีจะไม่รับสายพี่อีกแล้ว จนกว่าจะได้เจอกัน.."
"สัญญาสิครับ.."
"ดีใจจัง.."
........................
ตกค่ำวันศุกร์..เขาขับรถออกจากที่ทำงานด้วยจิตใจที่ถ่วงหนักพิกล
ภาวินีเป็นเด็กสาวน่ารัก ดวงตาแจ่มใส แก้มแดงเป็นนิจ ผมสีดับขลับมักจะถูกเปลี่ยนทรงอยู่เสมอ คราวที่ได้เจอกันครั้งสุดท้าย..เกือบสองเดือนมาแล้ว..เขาจำได้ว่าเธอไว้ผมยาว เขาเองยังชมเธอเลยว่าผมเธอสวย
"โอย..สวยอะไรกัน ขี้เกียจสระจะตาย นี่ว่าจะไปซอยให้สั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย.."
"งั้นก็น่าเสียดาย.."
"อย่ามาพูดเลย..พี่กรเคยสนใจเหรอว่าผมนีจะยาวจะสั้นจะสวยหรือไม่สวย.."
"ก็สนใจอยู่นี่ไง.."
เธอหัวเราะ ใช้มือจับปอยผมอย่างเขินอาย
ด้วยวัยเพียงยี่สิบกว่าปี ทำให้รอยยิ้มและความคิดอ่านของเธอยังคงใสบริสุทธิ์ เขาเองก็ประทับใจในความใสของเธอนั้น แต่สิ่งที่เขาทำได้ ก็ได้แต่เก็บความประทับใจไว้เงียบ ๆ
เขาได้รู้จักเธอจากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวบริษัทฯ ที่เธอเป็นพนักงานพีอาร์อยู่
เขาเป็นครีเอทีฟบริษัทโปรดักชั่นเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ด้วยเพราะงานเกี่ยวข้องกัน ความสนิทสนมคุ้นเคยจึงเกิดขึ้นโดยปริยาย
เขาเป็นคนพูดเก่ง ยิ้มสวย บุคลิกดี จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีสาวสวยเคียงข้างมากกว่า 1 คน
ทุกวันนี้เขาก็ลำบากใจในเรื่องนี้ แม้เขาจะไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเอง แต่การแสดงออกของภาวินี บุรุษอย่างเขาย่อมอ่านออก
เธอกำลังมีใจให้เขาไม่มากก็น้อย
......
ระหว่างการได้พบกันในวันหนึ่ง ภาวินีถึงกับเล่าเรื่องความรักของเธอในอดีตให้เขาฟัง
"เราคบกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย..เราเรียนอยู่ที่เดียวกัน.."
"เขาเป็นคนหล่อ ใครเห็นใครก็ชอบ แม้แต่นีเองก็ชอบเขาที่เขาหล่อและดูดีเวลาเดินด้วย.."
"ไม่ใช่ว่านิสัยเขาไม่ดี..เขาก็ดีกับนีนะ..ดูแลเทคแคร์ดี.."
"อันนั้นไม่แน่ใจ..เขาคงมีนีคนเดียวมั้ง..อย่างน้อยก็เท่าที่นีรู้.."
"นีก็อยู่เฉย ๆ ..อยู่ ๆ เขาก็มาขอเลิก.."
"ใช่..เขาขอเลิกก่อน เหตุผลก็คือเราไปด้วยกันไม่ได้.."
"จะให้นีทำไง..ก็ผู้ชายขอเลิก นีก็ต้องยอมสิ.."
"เสียใจไหม..พี่ถามตลก.."
"นีร้องไห้เป็นอาทิตย์..กว่าจะดีขึ้น..นึกว่าจะเรียนไม่จบเพราะเขาซะแล้ว.."
"เข็ดเลย..นีเข็ดผู้ชายหล่อเลย..ไม่เอาอีกแล้ว ขอใครก็ได้ที่ใจดี ดูแลเราได้..จะหล่อหรือไม่ไม่สำคัญแล้ว.."
"ตอนหลังมารู้ว่าเหตุที่เขาขอเลิกกับนี..เพราะแม่ของเขาไม่ให้คบผู้หญิง.."
"น้ำเน่ามากเลยพี่..แม่เขาจะให้เขาแต่งงานกับลูกสาวเจ้าหนี้รายใหญ่ของครอบครัว..นีงี้ต้องปิดจมูกฟัง.."
"เลิกเสียใจแล้วล่ะ..เสียใจก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา.."
"ก็ยังมีโทร.หากันบ้าง..เป็นเหมือนเพื่อนมากกว่า เพื่อนที่ไม่ค่อยจะสนิทเท่าไหร่.."
"แล้วพี่ล่ะ..มีเมียมาแล้วกี่คน?.."
กรกาจสะอึก เมื่อถูกยิงด้วยคำถามอย่างนี้
แม้เขาจะไม่เคยแต่งงาน แต่เขาก็ผ่านผู้หญิงมาแล้วถึงสามคน และทุกวันนี้ก็ยังคบกันอยู่อีกหนึ่งคน
แต่เรื่องอย่างนี้ เขาคิดว่าไม่ควรจะเปิดเผยออกไป อย่างน้อย ก็เพื่อให้เขาดูดีในสายตาของผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา
เขาจึงแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
"โอย..อย่างพี่ใครเขาจะมาคบเป็นแฟน.."
ภาวินีส่ายหน้าจนผมกระจาย
"อย่ามาโกหกเลย..พี่ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า..นีไม่เห็นอยากรู้.."
........
กรกาจเป็นชายหนุ่มที่มีสังคมกว้างขวาง
เขาคบคนทุกระดับ โดยเฉพาะเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันนั้นเขาจะเป็นเสมือนตัวแทนของรุ่นในการจัดกิจกรรมพบปะกันต่าง ๆ
วันหนึ่งวรวุฒิ เพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมโทร.หาเขา ชวนไปดื่มด้วยกันที่ลานเบียร์แห่งหนึ่ง
เพื่อนของเขาคนนี้เป็นคนหน้าตาธรรมดา บุคลิกก็ธรรมดา
แต่ด้วยความขยันขันแข็งและมุ่งมั่น รวมทั้งการใช้สอยอย่างตระหนี่ ทำให้เพื่อนคนนี้ของเขาสร้างฐานะมั่นคงขึ้นอย่างรวดเร็ว
และทำให้เขายังคงไม่มีผู้หญิงคู่ใจ ครองชีวิตโสดมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ตอนหนึ่งของการสนทนา วรวุฒิถึงกับปลงชีวิตออกมา
"สายไปแล้วล่ะสำหรับเรื่องนั้น รถด่วนขบวนสุดท้ายของฉันออกไปตั้งนานแล้ว.."
กรกาจหัวเราะ
"ไม่ขนาดนั้นมั้ง..นายไม่จริงจังเองต่างหาก ก็เห็นควงใครอยู่แว่บ ๆ ไม่ใช่รึ ตอนนี้ไปไหนแล้ว?"
"เธอไปแล้ว..ฉันผิดเองไม่รู้จักง้อคน..คิดแล้วยังเสียดายเธอเป็นคนดีและสวยซะด้วย.."
"เกิดอะไรขึ้นล่ะ?.."
"เจ้ากี้เจ้าการเกินไป ฉันไม่ชอบคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของฉันมาก ๆ ขนาดนั้น.."
"ยกตัวอย่างซิ?"
"ก็ที่เลิกกันไป ก็เพราะเธอไม่เห็นด้วยที่ฉันไม่ยอมซื้อรถ เธอบอกมันเป็นเรื่องจำเป็น แต่ฉันไม่เห็นจำเป็น.."
กรกาจแทบสำลักเบียร์
"เรื่องแค่นั้นเอง?"
"ไม่แค่นั้น..นายคิดดู ทุกวันนี้บ้านของฉันกับที่ทำงานฉันก็นั่งรถไฟฟ้าไปได้สิบนาทีก็ถึง แล้วจะให้ฉันมีรถทำไมไม่ทราบ ไหนจะต้องหาที่จอดรถ ไหนจะค่าน้ำมันค่าดูแลรักษา และรถสมัยนี้ราคาต่ำกว่าล้านมีอยู่สักกี่รุ่นกันวะ เงินทองหายากจะตาย.."
"นายก็พูดถูก แล้วนายทำไมไม่อธิบายให้เธอเข้าใจ.."
"ฉันอธิบายจนปากเปียกปากแฉะ เธอบอกว่าแต่เพียงว่าการมีรถน่ะมันดีอย่างโง้นอย่างงี้ จะไปเที่ยวไหนก็ไม่ต้องเช่าไม่ต้องตีตั๋ว และจะทำให้ฉันกับเธอสามารถเจอกันได้บ่อย ๆ .."
"เหตุผลของเธอก็ไม่แปลกนี่.."
"ที่ทนไม่ได้ก็เพราะเธอควักเงินของเธอเองไปจองรถให้ฉันนี่แหละ มันไม่ใช่เรื่องของเธอ และถ้าฉันจะซื้อ ฉันก็จะใช้เงินของฉันเอง.."
"แล้วไง.?"
"ฉันก็ว่าไปคำ งอนหายไปเลย.."
"ว่า ๆ ไง?"
"คราวหลังอย่ามายุ่งกับชีวิตของฉัน.!!"
........
"แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ะ การอยู่ตัวคนเดียวมันทรมานจริง ๆ"
"ชีวิตเหมือนไม่มีค่า เงินทองที่ได้มาก็แค่ช่วยให้หายเหงาเป็นคราว ๆ ไปเท่านั้น.."
"ฉันอยากจะมีใครซักคน..ขอแค่คนเดียว ไม่ต้องสวย ไม่ต้องดีมาก ฉันจะทุ่มเทให้กับเขาอย่างเต็มที่"
"ฉันจะทำทุกอย่างอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน ฉันจะลดลาเรื่องกฎระเบียบในชีวิตของฉันลงให้หมด ฉันอยากจะเป็นคนธรรมดา ๆ ที่มีครอบครัว มีลูก และมีความสุขเหมือนคนอื่นเขา.."
ตอนท้าย..เขายกเบียร์ขึ้นดื่ม กรกาจมองเห็นดวงตาของเขาแล้วสงสารจับใจ
"ฉันบอกตรง ๆ ฉันเหงาเหลือเกิน.."
.......
ภาวิณีชูมือขึ้นโบกให้เขาเห็นหยอย ๆ ดวงหน้าเธอยิ้มร่า ผิวขาวสะอาดมองเห็นได้แต่ไกล
"ดีใจจัง..ที่วันนี้พี่กรไม่เบี้ยว.."
"โถ่..จะต่อว่าพี่ไปถึงไหนกัน ไอ้ที่เบี้ยวนั่นก็ไม่ได้เจตนา..ติดธุระจริง ๆ ทั้งนั้น.."
"จ้า..เชื่อแล้วจ้า..ติดธุระกับสาว ๆ ทั้งนั้นล่ะสิ.."
เขาหัวเราะ..ถามเธอว่าทานอะไรหรือยัง เธอส่ายหน้า
"รอพี่มาสั่งนี่แหละ..หิวจะตาย.."
เขาโบกมือเรียกบ๋อย..สั่งอาหารสองสามอย่าง แล้วหันมาคุยกับหญิงสาวตรงหน้า
"งานเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เสร็จงานวันนั้น พี่ไม่ได้ข่าวอีกเลย.."
"ก็ดีค่ะพี่ ลูกค้าตึม..นีแทบไม่ได้หยุดพัก..นี่ต้องยกให้เป็นความสามารถของพี่ งานแกรนด์โอเพนนิ่งพี่ทำได้ดีมาก คนรู้จักบริษัทไปทั่วประเทศ"
"ไม่จริงหรอก..เพราะพีอาร์สาวอย่างนีต่างหาก ที่ช่วยดึงลูกค้ามาได้เยอะขนาดนั้น.."
ทั้งสองหัวเราะให้กัน "ว่าแต่พี่คงไม่อยากจะคุยกับนีแค่เรื่องนี้แน่..มีอะไรให้นีช่วยเหรอคะ?"
"อะไรกัน น่าน้อยใจชะมัด แค่อยากจะเจอเฉย ๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมพี่ต้องมีธุระด้วยเหรอถึงจะเจอได้"
"ปล่าวหรอกค่ะ เพียงแต่นีแปลกใจนิดหน่อย..ปกติพี่ไม่เคยโทรนัดนีก่อน.."
จังหวะนั้น โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
เครื่องดื่มยกมาวาง
เขาคุยโทรศัพท์สองสามคำ
แล้วเชิญให้หญิงสาวทานอาหาร
..........
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น
"ไม่รู้ว่านีจะโกรธรึเปล่า พอดีเพื่อนพี่โทร.มา เขาอยู่แถวนี้ พอเขารู้ว่าพี่อยู่ที่นี่เขาก็เลยอยากเจอ พี่ชวนเขาร่วมโต๊ะด้วยได้ไหม?.."
หญิงสาวทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แล้วยิ้มหวาน
"ได้สิคะ..ดีเสียอีก นีจะได้รู้จักเพื่อนของพี่เอาไว้ เผื่อวันไหนหาตัวพี่ไม่เจอ จะได้ถามเขาได้.."
ไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามา
"เพื่อนพี่ครับ เขาชื่อวรวุฒิ ส่วนน้องคนนี้ชื่อภาวินี รู้จักกันไว้.."
วรวุฒิรับไหว้ภาวินี พร้อมกับสำรวจไปทั่วร่าง
ภาวินีรู้สึกหน้าชานิด ๆ
แล้วการสนทนาก็พาไปสู่เรื่องอื่น ๆ จนทั้งสามแยกจากกัน
......
"เฮ่ย..น้องเขาสวยดีว่ะ.."
วันรุ่งขึ้น วรวุฒิก็โทรศัพท์มาคุยกับเขา
"ถามนายจริง ๆ เหอะ ทำไมนายไม่สนใจวะ?"
"ฉันพอแล้วว่ะ แค่นี้ฉันก็ปวดหัวจะตายแล้ว.." กรกาจตอบเสียงเนือย ๆ
"นายแน่ใจนะ ที่จะยกให้ฉัน.."
"ไอ้บ้า..ยกเยิกอะไรกัน มันแล้วแต่นายกับเธอโว้ย ฉันแค่เปิดโอกาสให้นายพบกันเท่านั้น จากนี้ไปก็แล้วแต่ว่านายกับเธอจะไปสานต่อกันอย่างไร ขออย่างเดียวเท่านั้น.."
"อะไร?"
"นายต้องจริงจังกับเธอ อย่าให้เธอต้องเสียใจเพราะนายเป็นอันขาด"
"ได้เลยเพื่อน เรื่องนั้นฉันรับปากเต็มที่.."
......
คืนนี้เขานั่งดื่มเบียร์เพียงคนเดียวในร้านชานกรุงแห่งหนึ่ง
บรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบ มีเพียงเสียงเปียนโนดังกล่อมอยู่แผ่วเบา
มุมที่เขานั่งเป็นโต๊ะลึกสุด อยู่ใต้ต้นโมกปลอมใบเขียวชะอุ่ม
ตรงหน้ามีถ้วยแชมเปญขนาดใหญ่ หล่อน้ำสีฟ้าไว้เพียงครึ่งแก้ว และจุดเทียนที่ลอยอยู่ให้ส่องแสงวับแวม
ช่วงเวลาเช่นนี้..ความรู้สึกชนิดนี้ เป็นสิ่งที่เขาชอบ
นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่เคยได้อยู่คนเดียว..
บางครั้งคนอย่างเขา ก็อยากรู้จักความเหงาบ้างเหมือนกัน
........
ดนตรีกล่อมด้วยบทเพลงคุ้นหู ถ่วงอารมณ์เขาให้ลึกไปถึงอดีต
อดีตที่เขาทำลายความรู้สึกดี ๆ ของผู้หญิงหลาย ๆ คนที่มอบให้แก่เขา
สิ่งที่เขาทำได้คือแค่เอ่ยคำว่าเสียใจ จากนั้นเขาก็ทิ้งเธอเหล่านั้นไปอย่างไม่แยแส
และคนที่คบกันอยู่ในปัจจุบัน เขาก็เริ่มที่จะตีจาก
เขาเป็นคนเบื่อง่าย ซึ่งมาพร้อมกับความรักง่าย หลงง่าย
บางครั้งเขาก็มีความสุขดี กับการได้ด่าตัวเองอย่างนี้
.......
ภาวินีโทรมาหาเขาหลังจากวันนั้นสองครั้ง แต่เขาจงใจไม่รับสาย
ส่วนวรวุฒิโทร.มาเล่าความคืบหน้าอย่างละเอียดยิบให้เขาฟังจนเขาแทบจะรำคาญ
"เธอรับนัดฉันแล้วโว้ย..เฮ้ย..ฉันต้องทำไงบ้างวะ?"
"ฉันไม่สบายใจเลยว่ะ ดูเธอไม่ค่อยคุยค่อยพูดกับฉันเลย.."
"วันนี้เธอโทร.มาเองเลยว่าโว้ย..ถามว่าฉันสบายดีไหม..โหย..ดีใจแทบตาย เธอถามถึงนายด้วยนะ.."
ฯลฯ
.......
เช้านี้เขาเข้าไปเช็คเมล์ของตัวเอง พบข้อความของภาวินีทิ้งไว้
"พี่กรหายเงียบไปอีกแล้วนะ.."
"พี่รู้ไหมเพื่อนพี่โทรหานีวันละเป็นสิบครั้ง.."
"นีก็เกรงใจ เลยต้องไปทานข้าวกับเขาครั้งหนึ่ง.."
"พี่ ถามจริงเหอะ เพื่อนพี่คนนี้เต็มหรือเปล่า?"
"พูดมากเป็นลิงเคี้ยวรำ ไม่เห็นเหมือนพี่เลย.."
"พี่สบายดีใช่ไหม? ว่างแล้วโทรหานีบ้างนะ.."
"ไม่ต้องนัดทานข้าวก็ได้..แค่ได้ยินเสียงก็ดีใจแล้วล่ะ
"คิดถึงนะ.."
........
เพราะเรื่องนี้หรือเปล่าทำให้เขาต้องมานั่งด่าตัวเองอยู่อย่างนี้?
เขาปฏิเสธ
เขาไม่ได้รักภาวินี เพราะเขาบอกตัวเองเสมอว่าเขาไม่ควรรักเธอ
ผู้ชายอย่างเขามีคุณค่าไม่พอ เด็กสาวใส ๆ อนาคตไกล ๆ เยี่ยงเธอ ย่อมหาชายคนที่ดีกว่าเขาได้
อย่างวรวุฒิ แม้เขาจะเป็นคนค่อนข้างจะจุกจิกจู้จี้ แต่เขาก็เป็นคนดี
เขาเชื่อว่าถ้าเธอเลือกเขา เขาจะทำให้เธอมีความสุขได้
เขาได้แต่หวังว่าวรวุฒิจะทำได้สำเร็จ
.......
จริงหรือว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นเช่นนั้น
แล้วเหตุใดเขาจึงมานั่งรู้สึกโหยหายเช่นนี้
เหมือนอะไรบางอย่าง เหมือนความรู้สึกบางอย่าง ได้ขาดหายไป
เขาเป็นอะไร..เขายังตอบตัวเองไม่ได้
โทรศัพท์ดังขึ้น แฟนคนล่าสุดของเขาโทรเข้ามา
"พี่จะนอนแล้ว..พรุ่งนี้ค่อยเจอกันแล้วกัน.."
เขาวางสาย..
หากเขาคบกับภาวินี ในที่สุดแล้วคำพูดนี้ก็ต้องพูดกับเธอ
ในที่สุดเขาก็คงทำเธอร้องไห้
เหมือน ๆ กับผู้หญิงทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา
ผู้ชายเจ้าชู้อย่างเขา อย่างดีก็ให้ความสุขแก่คนที่หลงรักได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
แล้วทิ้งไว้แต่คราบน้ำตา..
......
คืนนี้เช่นกัน วรวุฒินัดภาวินีมานั่งฟังเพลงที่สวนอาหารแห่งหนึ่ง
เป็นส่วนอาหารที่ไม่มีหลังคา รายล้อมด้วยต้นไม้พืชพรรณที่สวยงาม
แต่ละโต๊ะจะมีหลังคาที่มุงด้วยจากคล้ายบ้านทรงไทย มีบริกรคอยบริการอยู่ห่าง ๆ
เขาคิดว่าที่นี่เหมาะที่สุด สำหรับการที่จะทำให้เธอไว้วางใจ
ลมหนาวโชยเป็นระยะ อาหารรสชาติถูกปาก ผู้ร่วมทานถูกใจ
เขามีความสุขเหลือเกินในคืนนี้
สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเศษก้างเล็ก ๆ ติดคอ คือการพูดถึง "พี่กร" ของภาวินีอย่างบ่อยครั้ง
แทบจะตลอดเวลาก็ว่าได้
"นีนั่งอยู่กับพี่ แต่ไปถามถึงอีกคนว่าสบายดีไหม ไม่รู้หรือว่าพี่ก็เสียใจเป็นเหมือนกันนะ.." เขาพูดทีเล่นทีจริง ภาวินีปิดปากหัวเราะ ดวงตาของเธอแจ่มใส เขามองอย่างหลงไหลไม่วางตา
"ก็นีติดต่อพี่เขาไม่ได้จริง ๆ นี่นา ตั้งแต่วันนั้นนานเป็นเดือนแล้ว พี่เขาหายไปเลย โทร.ไปก็ไม่ติด เมล์ไปก็ไม่ตอบ นีก็กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป.."
"มันไม่เป็นอะไรหรอก..หมอนี่แฟนมันเยอะ คงจะอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งล่ะสิถึงต้องปิดโทรศัพท์"
เขาบอกตัวเองว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะเป็นเรื่องไม่ควรพูดอยู่สักหน่อยก็ตาม แต่กรกาจเองก็ไม่ได้หวังจีบภาวินีอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะเสียหายอะไร
ภาวินีทำตาโต ถามต่อว่า
"จริงเหรอพี่ พี่กรเขามีแฟนเยอะแยะเลยเหรอ กี่คนกันคะ?"
"สี่.." วรวุฒิยกนิ้วประกอบ "ดีไม่ดีตอนนี้เป็นห้าไปแล้วด้วยซ้ำ เรื่องผู้หญิงเขาเก่งไม่เหมือนพี่ แก่จนป่านนี้ยังไม่มีแฟนเลย.."
เธอหัวเราะตามเขาไปด้วย แต่แทนที่เธอจะพูดเรื่องเขาต่อ กลับเป็น"..พี่เขาน่ารัก..ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีผู้หญิงตามชอบเยอะแยะ.."
วรวุฒิยิ้มแห้ง..กลั้นใจสวนกลับไปด้วยคำถามที่เขาเองก็คิดไปไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะกล้า
"แม้แต่นีเอง..ก็ชอบเขาอยู่เหมือนกันใช่ไหมครับ?"
..........
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เบอร์นี้เป็นเบอร์ที่เขาจะให้เฉพาะเพื่อน และผู้หญิงบางคนเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดเรื่องเข้าใจผิดในทุกกรณี
เป็นวรวุฒิโทรมา
เขาเหลือบมองนาฬิกา เกือบห้าทุ่มเข้าไปแล้ว วรวุฒิจะไม่เคยโทรหาเขาตอนดึก ๆ เว้นแต่จะมีเรื่องอะไรที่เร่งด่วน
ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หากเป็นเรื่องที่ควรยินดี
"นีรับรักฉันแล้วโว้ย..."
เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขของเพื่อนรักของเขา
"อย่างนี้ฉันต้องเลี้ยงฉลองขอบคุณนายหนึ่งมื้อ เมื่อไหร่ที่ไหนว่ามาได้เลย.."
หางเสียงของเขาพร่าไปเล็กน้อย.
"รวดเร็วดีจริง ๆ นายแน่มาก.."
..........
วรวุฒิวางโทรศัพท์ เขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้
อย่างน้อยเขาต้องกำจัดฝ่ายชายให้ได้อย่างเด็ดขาด ส่วนฝ่ายหญิงเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขากำลังทุ่มเทอยู่นี้ จะทำให้เธอหันมารักเขาได้
แม้คำตอบของเธอยังคงก้องอยู่ในหู
"พี่กรเป็นคนเก่ง น่ารัก..ใครก็ต้องชอบเป็นธรรมดาอยู่แล้วนี่คะ.."
..........
ภาวินีขับรถกลับบ้านด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น
"นีไม่รู้อะไร กรกาจนั้นร้ายกาจสมชื่อจริง ๆ.." วรวุฒิพูดให้เธอฟัง
"ผู้หญิงของเขาพี่รู้จักอยู่หลายคน แต่ละคนโดนเขาทำเจ็บแสบนัก.."
"แต่เพราะพี่เป็นเพื่อนของเขา พี่จึงพูดมากไม่ได้ แต่พี่ก็อดเป็นห่วงนีไม่ได้.."
"เชื่อพี่เหอะ..อยู่ห่าง ๆ เขาเอาไว้ดีกว่า.."
เธอรู้สึกแปลกใจบางอย่างจึงถามออกไป
"พี่มาบอกเรื่องนี้กับนีทำไมคะ?"
"ก็พี่ชอบนีน่ะสิ..ชอบตั้งแต่แรกเห็น..นีก็น่าจะรู้ดี.."
เธอได้แต่เปิดเสียงวิทยุในรถให้ดังขึ้น เพื่อกลบเสียงในหัวนั้นไป
"เพียงแค่พื้นที่เล็ก ๆ ข้างห้อง....หัวใจ
ไม่จำเป็นต้องเหลือบมองด้วยซ้ำ
เว้นให้ฉันยืนดูเธอฉันก็สุขล้ำ
ขอเพียงอย่าตอกย้ำ..ว่าฉันไม่คู่ควร..."
เธอกดล๊อกให้เพลงนั้นดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และรู้สึกว่าบ้านของเธออยู่ไกลเหลือเกิน
............
ขณะขับรถกลับบ้าน กรกาจรู้สึกตัวเองว่าหงุดหงิดมากไปหน่อย
เด็กขับรถมาส่งช้า เขาก็พาลไม่ให้ทิปไปเสียเลย
รถคันข้างหน้าไม่ยอมให้สัญญาณไฟเลี้ยว เขาสบถออกมาคำหนึ่งแล้วกดแตรลั่นถนน
ทุกอย่างดูจะขวางหูขวางตาเขาไปเสียหมด
เมื่อถึงที่จอดรถ เขาปิดประตูรถเต็มแรง อารมณ์เสียจี๋ขึ้นมาทันที เพราะที่จอดรถข้าง ๆ นั้นมีรถของมลชนกจอดอยู่
เธอเป็นผู้หญิงคนล่าสุดของเขา
ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะพบใครทั้งนั้น
เที่ยงคืนกว่า..ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะอยู่รอเพื่อที่จะพบเขาอย่างนี้
หรือมีอะไรเกิดขึ้น?
......
น้ำตาคือคำตอบ
หญิงสาวผมสั้นแนบศีรษะ ดวงตาเอ่อล้นแดงกร่ำดุจผ่านการร่ำไห้มาเนิ่นนาน นั่งรอเขาอยู่แล้วบนโซฟา
"ไหนพี่บอกว่าจะนอน..พี่ไปไหนมา?"
"บังเอิญเพื่อนชวนออกไปดื่มกันนิดหน่อย..นกมีอะไรรึเปล่า?"
เธอยิ่งร้องไห้หนักขึ้น..
เขาดึงศีรษะเธอมาแนบซอกคอ ความนุ่มนวลของเขาเยี่ยงนี้ชนะใจผู้หญิงทุกคนมาแล้ว
"นกท้อง!!"
เขาใจหายวูบ สิ่งที่เขากลัวกำลังเกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมลชนก มีความลึกซึ้งกันมานานหลายเดือน
เขาผิดเองที่เขาไม่รู้จักหยุดยั้งความต้องการของตัวเอง
เริ่มไปโดยไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา
เริ่มตามอารมณ์ผู้ชายเหมือนภมรที่อดไม่ได้ต้องลิ้มรสเกสร
"นกแน่ใจหรือ?"
เธอพยักหน้า เขาฝืนยิ้ม สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือแสดงความรับผิดชอบ
แม้เขาจะเป็นคนไม่ดี แต่ไม่ถึงกับเลวจนไม่รับผิดชอบการกระทำของตนเอง
"ก็ดีแล้วนี่จ๊ะ..แล้วนกร้องไห้ทำไม?"
เธอสะอื้น "นกกลัว..นกคบกับพี่กรทางบ้านไม่มีใครรู้ อยู่ ๆ ท้องขึ้นมาอย่างนี้พวกเขาคงไม่ยอมแน่.."
เขานิ่งไป คิดถึงปัญหาข้างหน้าแล้วอดถอนใจออกมาไม่ได้
มลชนกเป็นเด็กสาวที่เพิ่งเรียนจบมาได้ไม่นาน
เธอมาสมัครงานที่บริษัทเขา เขานั่นเองที่เป็นคนสอบสัมภาษณ์เธอ และอนุมัติให้เธอเข้าทำงาน
ช่วงนั้นเขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว
แต่ด้วยความสนิทสนมที่ก่อตัวขึ้นจากความใกล้ชิดทำให้เขาอดรักเธอไม่ได้
เมื่อแฟนของเขาจับได้..สิ่งที่เหลือคือผู้หญิงคนนี้
เป็นผู้หญิงที่เขาเลือก..ส่วนแฟนเก่าของเขาคือผู้หญิงที่เขาทิ้ง
ทุกวันนี้ผู้หญิงที่เขาทิ้ง..แต่งงานไปแล้วกับลูกชายของคหบดีผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง
เขายังได้รับการ์ดจากเธอ พร้อมกับคำเชิญสั้น ๆ เขียนด้วยลายมือที่คุ้นตา
"ขอบคุณที่คุณไม่เลือกฉัน เพราะทำให้ฉันมีวันทีดีอย่างวันนี้..ถ้าว่างก็ขอเชิญนะคะ"
........
เขารับการ:-)ดันเยี่ยงนั้นได้เป็นอย่างดี
เจ้าบ่าวของเธอคนนั้น..แฟนเก่าของเขา..เทียวไปเทียวมานอกสายตาเขาบ่อย ๆ
การเลิกลากันด้วยการให้คนคิดว่าเขาเป็นฝ่ายผิด มันควรเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายอย่างเขาต้องทำ
ดีกว่าการเลิกลากันเพราะจับได้ถึงความไม่รู้จักพอของฝ่ายหญิง
อย่างน้อยก็ควรจะให้เกียรติผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารัก หรือเคยรัก
นี่จึงเป็นสิ่งที่คนไม่ดีอย่างเขาพอจะทำได้
.......
มลชนกรักเขามาก ทุ่มเทให้กับเขาทุกอย่าง แม้จะถูกตราหน้าว่าแย่งแฟนคนอื่น
เพื่อร่วมงานทุกคนในบริษัท ต่างก็รู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว มลชนกจึงถูกมองด้วยสายตาที่หลากหลายความรู้สึก
บ้างเห็นใจ บ้างดูถูกเหยียดหยาม บ้างดูหมิ่นดูแคลน
เด็กสาวใสสะอาดที่เพิ่งก้าวจากรั้วมหาวิทยาลัย ถูกเขาสาดโคลนสกปรกเข้าใส่จนเธอแทบล้มทั้งยืน
ด้วยรักที่มีต่อเขา เธอยอมรับสิ่งสกปรกนั้นอย่างเข้มแข็งและอดทน
ส่วนเขา สิ่งที่ให้แก่เธอได้ กลับกลายเป็นเรื่องนี้
เรื่องที่ผู้หญิงทุกคนกลัวที่สุดในชีวิต
ท้องโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน!!!
......
อาการสะอื้นไห้สะท้านมาเป็นระยะจากร่างอุ่นของมลชนกในอ้อมกอดของเขา
ผู้หญิงที่บอบบางเยี่ยงนี้ เขาทำลายเธอลงคอได้อย่างไร??
เขายังมีหน้าไปคิดถึงภาวินี เหมือนหมาหวงก้างเช่นนั้นได้อย่างไร?
ความคิดนี้ทำให้เขาเกลียดตัวเองมากยิ่งขึ้น
เกลียดชนิดที่ไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้อีกแล้ว..
อ้อมกอดกระชับแน่น..อย่างน้อย สิ่งที่เขาทำให้กับภาวินีและเพื่อนรัก ก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ภาวินีไม่ควรเข้ามาในชีวิตของเขา
มลชนกจะต้องเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายของเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ปลายนิ้วปาดน้ำตาของเธอเพียงแผ่วเบา
บรรจงจูบที่เปลือกตานั้นด้วยหัวใจทั้งหมดที่มี
"พี่รักนก พี่จะรับผิดชอบทุกอย่าง พี่จะแต่งงานกับนก.."
สิ้นคำพูดนั้น ความรู้สึกโหยหาที่เคยมีให้แก่ภาวินี ถูกเก็บกดลึกเข้าไว้ในก้นบึ้งของหัวใจในทันที
เขาตัดสินใจแล้ว!!!
.......
หลังจากล้มตัวลงนอน สิ่งที่เก็บอยู่ในสมองก็พรั่งพรูออกมาราวเทน้ำจากขันใบใหญ่
ทำไมภาวินีจะไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของเธอนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
เธอรู้อยู่เต็มอก ว่าพี่กรของเธอ ไม่ใช่ผู้ชายโสด แม้กรกาจจะไม่เคยเอ่ยถึงผู้หญิงคนอื่นให้เธอฟัง
แต่สุดห้ามใจรัก..ความรักครั้งนี้ของเธอรุนแรงกว่าครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ
บุคลิกที่นุ่มนวล การพูดจาที่สุภาพ ดวงตาที่อ่อนโยนเป็นนิจ และความสามารถที่ดีเยี่ยมเช่นนี้
มีผู้หญิงใดบ้างที่จะปฏิเสธเขาได้
หลังจบงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ จากการร่วมกันจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งให้แก่บริษัทของเธอ
กรกาจอาสาไปส่งเธอที่บ้าน อ้างว่าเธอหน้าแดงอย่างไม่น่าไว้วางใจว่าจะขับรถไหว
เธอไม่ปฏิเสธ อย่างน้อยฤทธิไวน์ก็ทำให้การปฏิเสธเกิดขึ้นได้ยากขึ้น
ขณะอยู่กันสองต่อสอง กรกาจขอมือเธอไปจับ กระชับแน่น อบอุ่นหากเข้มแข็ง ทำเอาเธอใจหวิว
"ขอจับมือแสดงความยินดีกับผลสำเร็จหน่อยครับ คุณนีทำให้งานของผมสำเร็จอย่างดีเยี่ยม ผมขอบคุณจริง ๆ"
"นีต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่กร แล้วเลิกเรียกนีว่าคุณได้แล้วนะคะ.."
เขาหัวเราะ คงดื่มไปบ้าง กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาบาง ๆ
"คุณนี..เอ้อ..นีจะกลับบ้านเลยหรือเราจะไปฉลองที่อื่นกันต่อดีครับ?.."
เธอลืมดึงมือกลับ และลืมไปว่าสิ่งที่ควรต้องทำคือการกลับบ้าน
"แล้วแต่พี่กรสิคะ..นีบอกทางบ้านไว้แล้วว่าวันนี้จะกลับดึก.."
.....
กรกาจพาเธอไปสถานที่แห่งหนึ่ง มืด เย็น หากสวยงาม
ประกายแสงเทียนวับแวมอยู่ในแก้วทรงแชมเปญ ซึ่งใส่น้ำสีฟ้าไว้เพียงครึ่ง
ใต้ต้นโมกปลอมต้นนั้น เธอหลงรักผู้ชายตรงหน้าอย่างสุดหัวใจ
เขาคุยเก่ง ยิ้มง่าย พาเธอแหวกว่ายไปในสายธาราของความสุข ความสดชื่นอย่างที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน
แม้แต่จากแฟนคนแรกของเธอเอง
"ระวังเมานะครับ..ไม่งั้นพี่คงต้องอุ้มนีเข้าบ้าน คุณพ่อของนีคงตกใจแย่.."
เธอหัวเราะ ยกเครื่องดื่มขึ้นจิบเหมือนจะท้าทายเขา
"พี่กรอุ้มนีไม่ไหวหรอก..ต่อร้อยเอาหนึ่ง.."
"อย่าท้านะ จะให้อุ้มตอนนี้เลยก็ได้.."
"เก่งจริงก็อุ้มสิเอ้า.."
......
เขาอุ้มเธอจริง ๆ แต่ไม่ได้อุ้มเข้าบ้านของเธอ
เขาอุ้มเธอที่บ้านของเขา
ทั้งสองเมาได้ที่ เมาจนลืมสิ่งที่ถูกที่ควรไปเสียสิ้น..
เขาวางเธออย่างทนุถนอมบนโซฟา..แลกเปลี่ยนกลิ่นลมหายใจกันและกันด้วยอาการสบตานิ่งอยู่เนิ่นนาน
ภาวินีพยายามเรียกสติกลับคืน หากไร้ผลทันทีที่ถูกสัมผัสจากริมฝีปากของเขา..
มันร้อน...มันเย็น..มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่
เธออ่อนระทวยไปทั้งร่าง
แต่แล้ว..ธาราแห่งความสุขของเธอก็หยุดไหลอย่างกระทันหัน
เขาถอนใบหน้าออกจากร่างของเธอ ใช้มือเก็บปัดเสื้อผ้าของเธอให้เรียบร้อย
"นีควรกลับบ้านได้แล้ว..นี่มันดึกมาก..เดี๋ยวทางบ้านจะเป็นห่วง.."
เธอยังทำอะไรไม่ถูก..คิดอะไรไม่ออก
"พี่ขอโทษที่ทำอย่างนี้..เราไม่ควรให้มันเกิดขึ้น.."
"เชื่อพี่เถอะ..แล้ววันหนึ่งนีจะขอบคุณพี่เอง.."
.......
ภาวินียกมือแตะริมฝีปากตัวเองอย่างลืมตัว
รสชาติแห่งการสัมผัสนั้นยังติดตรึงอยู่มิรู้วาย
สองสามวันจากวันนั้น เธอพยายามค้นหาคำตอบ
สิ่งที่เธอได้รับจากเขาก็คือ การพยายามเหินห่าง ไม่พยายามใกล้ชิดสนิทสนมกับเธออีก
สิ่งที่เธอทำได้ ก็เพียงการโทรหาเขาทุกวัน แม้เขาจะไม่เปิดเครื่อง การเมล์หาเขาบ่อย ๆ แม้เขาจะไม่ได้ตอบเธอ
กับบทสรุปในใจของเธอเองที่ว่า..พี่กรคงมีผู้หญิงอื่นอยู่แล้ว..พี่เขาจึงไม่สนใจเรา
เขาเป็นสุภาพบุรุษพอ พอที่จะไม่ทำลายผู้หญิงอย่างเรา
ทำให้เธอยิ่งหลงรักเขามากยิ่งขึ้น
รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน รักเพียงเพื่อให้ได้รักเท่านั้น
......
เธอแปลกใจมาก ในสิ่งที่วรวุฒิพูดให้เธอฟัง
สุภาพบุรุษอย่างพี่กร จะทำร้ายผู้หญิงได้ถึงสามสี่คนเชียวหรือ?
แล้วทำไมเธอ เธอผู้ซึ่งทำตัวเป็นเหมือนก้อนเนื้อนิ่งนอนอยู่บนเขียงให้เขาเถือ กลับรอดมาได้
เป็นความโชคดีของเธอ..หรือสิ่งที่เธอได้ยินมานั้นเป็นเรื่องไม่จริง??
......
ขึ้นชื่อว่าความรัก องค์ประกอบของมันมีอะไรบ้าง?
ใครล่ะจะตอบได้?
ความรักที่เกิดจากความใกล้ชิด มักทำลายรักแท้ที่ใช้เวลาก่อเกิดมาเนิ่นนาน
ความรักที่รวดเร็ว บางครั้งก็มีคุณค่ากว่าความรักที่เนิบช้า
ความรักแท้ที่ห่างไกล ย่อมพ่ายแพ้ต่อความรักที่ลุกโหม รุนแรงอยู่เคียงใกล้
หัวใจที่ซื่อตรง..ที่ถูกโยกคลอนด้วยพลังแห่งเงินตรา..และพลังแห่งตัณหา ..ย่อมโคลงเคลง สับสน
กว่าจะแยกได้ว่าสิ่งไหนคือรักแท้ ความรู้สึกใดคือรักเทียม หลายคนอาจจะผ่านช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตไปแล้ว
กรกาจก็เช่นกัน
......
วรวุฒิโทรหาเขา ในเช้าวันรุ่งขึ้น
นัดเขาพบตอนค่ำ เพื่อดื่มฉลองความสำเร็จ
เขาไม่ได้ถามว่าภาวินีจะไปด้วยหรือไม่ เพราะคิดว่าต้องไปด้วยอยู่แล้ว ในเมื่อทั้งสองตกลงเป็นแฟนกันแล้ว
ตกบ่าย จะด้วยเหตุอะไรเขาก็ไม่รู้ตัวเอง เขาเปลี่ยนซิมการ์ดเป็นเบอร์ที่เขามักจะไม่ได้ใช้
ครู่เดียว ภาวินีก็โทรเข้ามาหาเขา
"ว๊าว..แผ่นดินถล่มแน่ ๆ เลย วันนี้พี่กรเปิดมือถือ.."
"เสียงใสเชียวนะวันนี้.."
"ก็ดีใจนี่คะ..ดีใจที่ได้คุยกับพี่กรเสียที.."
"ดีใจเรื่องอื่นสิไม่ว่า.."
"เรื่องอะไรคะ?"
"อย่ามาทำไก๊หน่อยเลย..เอาเถอะ เจอกันวันนี้จะแซวให้อายม้วนทีเดียว.."
"เย้..วันนี้พี่กรจะเจอนีเหรอคะ..ที่ไหนคะ กี่โมง..??"
เขาแปลกใจ
"อ้าว..วุฒิไม่ได้ชวนนีด้วยเหรอ..ค่ำนี้เขานัดพบพี่เอาไว้?"
"จริงเหรอคะ..แหมดีใจจัง..งั้นเย็นนี้เจอกันนะคะ.."
แล้วเธอก็วางหูไป
วางหูไปโดยไม่สนใจว่าเขากับวรวุฒินัดกันเนื่องจากอะไร เธอสนใจอย่างเดียวที่จะได้เจอเขาเท่านั้น
หากเธอสนใจมากกว่านี้ บางที...
บางที..เรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้..
.................
วรวุฒิมาสาย
กรกาจพบภาวินีก่อน ทั้งสองนั่งสั่งอาหารรองท้อง
"พี่ดีใจด้วยนะครับ ขอยืนยันว่าวรวุฒิเป็นคนดีจริง ๆ.."
ภาวินีขมวดคิ้ว..
"วันนี้พี่กรพูดแปลก.."
"พี่เชื่อว่านิสัยบางอย่างของเขาที่ไม่ดี จะได้ความอ่อนหวานจากนีมาขัดเกลาให้ดีขึ้นได้.."
เธอขมวดคิ้วหนักขึ้น
"เขามีการงานที่มั่นคง..อ้อ..เรื่องนี้นีคงรู้แล้ว..แฟนกันจะไม่รู้เรื่องของกันและกันได้อย่างไง.."
คิ้วที่ขมวดเริ่มคลาย เธอเริ่มจะเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว..
"ที่สำคัญก็คือเขาเป็นคนไม่เจ้าชู้ รักเดียวใจเดียว เหล้ายาปลาปิ้งก็ไม่ถึงกับหนักนัก.."
เขาพูดไปเรื่อยเหมือนกับจะตอกย้ำหัวใจตัวเอง โดยหารู้ไม่ว่าสีหน้าของภาวินีเริ่มเปลี่ยนแปลง
"พี่กรทำอย่างนี้ทำไม?" เป็นเสียงเข้มที่เขาไม่เคยได้ยินจากภาวินีมาก่อน
"ทำอะไร?"
เธอลุกขึ้นยืน หน้าแดงสลับซีด
"เจตนาของพี่..พี่กำลังยัดเยียดเพื่อนของพี่ให้นีใช่ไหม?"
"เอ๊ะ!!.."
"นีจะบอกพี่เอาไว้..แม้ว่าพี่จะไม่รักนีเลยสักนิด นียังเสียใจไม่เท่ากับว่าพี่ต้องการกำจัดนีออกจากชีวิตของพี่โดยเสือกใสนีไปให้คนอื่นอย่างนี้.."
เธอปาดน้ำตา
"ขอบคุณมากค่ะ..ขอบคุณมาก.." เสียงสั่นพร่า ฝืนสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเดินจากไป
กรกาจตะลึงเกินกว่าจะฉุดรั้งไว้ได้
วรวุฒิเดินเข้ามาพอดี เขาสวนทางกับภาวินีพอดี
"อ้าวนี..มาไงกันนี่?.."
ภาวินีคว้าแขนเขาไว้ ประคองแนบกายอย่างเสแสร้ง
"นีไม่ชอบร้านนี้ พี่วุฒิพานีไปหาร้านอื่นนั่งคุยกันดีกว่า วันนี้นีอยากฟังเพลง อยากฟังกับพี่วุฒิสองคนเท่านั้น.."
วรวุฒิมองไปมองมาระหว่างกรกาจกับภาวินีอย่างไม่เข้าใจ
แต่เขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจ
เมื่อทุกอย่างเข้าทางอย่างนี้ สิ่งที่เขาควรทำก็คือรีบร่วมทางไปโดยเร็ว
ก่อนจาก เขาลอบขยิบตาให้กับกรกาจ
ราวกับจะพูดว่า
"เห็นไหม..ว่าฉันทำได้จริง ๆ"
.......
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เขาดื่มอย่างหนัก
จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาเมาที่สุด ก็เป็นครั้งที่เขาเสียแฟนคนแรกไป
เธอกับเขาทะเลาะกัน..ทะเลาะกันด้วยเรื่องหึงหวงผู้หญิงอื่น ผู้หญิงที่เขาบังเอิญต้องเทคแคร์เนื่องจากเป็นลูกของเพื่อนของมารดาเขา
เธอไม่ยอมเข้าใจ ประชดเขาด้วยการขับรถเร็ว ทั้งที่เธอเพิ่งหัดขับรถได้ไม่นาน
เธอแย่งกุญแจรถจากมือของเขา ขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง แล้วเสียหลักชนโครมเข้ากับรถที่กำลังแล่นมาอย่างแรง
เลือดของเธอไหลรินจนท่วมร่างของเขา ขณะที่อุ้มเธอเรียกรถแท๊กซี่คันแล้วคันเล่าให้ไปส่งที่โรงพยาบาล
ช้าไป..เธอขาดใจตายคาอ้อมกอดของเขาไปแล้ว
เขาโทษตัวเอง..ใคร ๆ ก็โทษเขา
เธอตายเพราะเขาแท้ ๆ!!
.......
พยายามยันกายลุกขึ้นเพื่อจะกลับบ้าน
ความเมาทำให้เขายืนแทบไม่ติด สูดลมหายใจให้ลึกเข้าไว้ มันช่วยได้แต่ไม่นาน
กว่าจะมาถึงรถ..เขาใช้เวลาเกือบสิบนาที
ภาพสีหน้าแสดงการเสียใจอย่างสุดซึ้งของภาวินี ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
อีกแล้วหรือนี่?? เขากำลังจะทำลายผู้หญิงโดยไม่เจตนาอีกคนหนึ่งแล้วหรือนี่?
ทำไมผู้หญิงจึงชอบประชด ทำไมผู้หญิงจึงไม่มีเหตุผลบ้างเลย???
ทำไม?...
......
คืนเดียวกันนั้น มลชนกตัดสินใจทานยาชนิดหนึ่ง
ใครหลายคนบอกเธอว่า จะช่วยทำให้การตั้งครรภ์ล้มเหลว
เธอไม่กล้าจะเอาเรื่องนี้มาบอกคุณพ่อของเธอ แม้ว่ากรกาจเองก็พร้อมจะแต่งงานกับเธอก็ตาม
คุณพ่อของเธอเป็นโรคหัวใจ ท่านคงรับไม่ได้กับเรื่องนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต เธอเป็นเด็กดีในสายตาของท่าน
พี่กรของเธอไม่เคยรู้ ว่าคุณพ่อหวังให้เธอแต่งงานกับใครคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่เขา
เธอซึ่งเป็นคนที่อยู่ในโอวาทเสมอมาในสายตาของคุณพ่อ กลับไปท้องกับผู้ชายคนอื่นอย่างนี้
โรคหัวใจของท่านคงกำเริบ เธอไม่อยากจะเป็นลูกอกตัญญูที่ฆ่าพ่อของตัวเอง
ตัวยาแผ่ซ่านจากปากลงสู่กระเพาะ
เธอหวังว่าทุกอย่างคงดีขึ้น เธอจะบอกกับกรกาจว่าเธอแท้งไปแล้ว..เรื่องแต่งงานนั้นไว้ว่ากันทีหลัง
พี่กรคงโล่งใจ เธอก็รู้ว่าพี่กรกลุ้มใจในเรื่องนี้ เพราะเอาเข้าจริง ๆ เขาก็ไม่พร้อมเท่าไหร่นัก
เขายังมีคุณแม่ที่เจ็บออดแอดให้ดูแล บ้านที่ให้พี่น้องอยู่นั้นเขาก็ต้องผ่อนส่ง
ทุกวันนี้ก็ทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ แทบจะไม่มีเวลาได้พบเธออยู่แล้ว
พี่กรคงดีใจ คงจะกอดเธออีก คงจะจูบที่เปลือกตาเธออีก
แล้วคงจะกระซิบกับเธอว่า "พี่รักนกที่สุดในโลกเลย" กับเธออีกครั้ง
เธอยิ้มอย่างมีสุขขณะที่รู้สึกร้อนแปลก ๆ ที่ท้อง
ผิวหนังเริ่มมีอาการคัน
ปากหนักขึ้น หนังตาหนักขึ้น
เธออาเจียนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ลำคอเริ่มตีบจากการแพ้ยา
หน้าเธอเขียวคล้ำ ดิ้นสุดแรงเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วเธอก็หลับไปโดยไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาอีกเลย
......
ภาวินีก็เมา
เธอเมาทำไมเธอเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้
แต่วรวุฒิไม่เมา
เขาเมาไม่ได้ เพราะเขารอเวลา
วันนี้แหละจะเป็นวันที่เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างครบถ้วน
ชีวิตของเขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน
เตี่ยเป็นพ่อค้าเขียงหมู แม่เป็นชาวจีนที่พ่อส่งเงินไปให้เป็นค่าเดินทางมาอยู่ด้วยกัน
เขามีพี่น้องห้าคน เขาเป็นคนกลาง
คนกลางที่ต้องรับอารมณ์ของคนทั้งบ้านมาตั้งแต่เล็กจนโต
เขาต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อเตรียมเขียงหมู และขนหมูจากรถที่มาส่งมาไว้ที่ร้าน
ตกเย็นต้องช่วยเตี่ยขายหมู ไม่เคยมีโอกาสได้ไปวิ่งเล่น
เงินรายได้จากการขาย แทบจะไม่พอเยียวยาคนทั้งบ้าน
ของเล่นดี ๆ ไม่เคยได้ผ่านมือ แรงกดอันนี้ทำให้เขาทะเยอทะยานที่จะสร้างตัวเองให้ร่ำรวย
เพื่อนที่เขาคบมีนับคนได้ จริง ๆ แล้วควรพูดให้ถูกต้องว่าเขามีเพื่อนมาคบด้วยไม่กี่คน
เพราะเขาเป็นคนตระหนี่ บางครั้งถึงกับไร้น้ำใจ และชีวิตก็เต็มไปด้วยระเบียบแบบแผนจนน่ารำคาญ
เช้าทำงาน กลางวันทางข้าว เย็นกลับบ้าน จะชวนไปไหนด้วยต้องนัดล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์
เขาก็เหมือนผู้ชายคนอื่น ที่ต้องหลงรักผู้หญิงเข้าสักวัน
แต่ความรักของเขาควบคุมได้ หากหญิงใดที่เขาสนใจมีทีท่าไม่ส่งเสริมชีวิตของเขาให้ดีขึ้น เขาก็สั่งให้ตัวเองหยุดรักได้
มีไม่กี่คนที่สามารถทำได้อย่างเขา
มีไม่กี่คนที่ใจดำได้อย่างเขา
......
รสรักที่ได้จากผู้หญิง ชายอย่างเขาผ่านมานักต่อนัก
ด้วยเงินที่บันดาลได้ทุกอย่าง วรวุฒิซื้อความสุขชนิดนี้ให้กับตัวเองอยู่เสมอ แม้ไม่บ่อยนักก็ตาม
หญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้า..เธอเมา..พร่ำบ่นฟูมฟายช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างนี้..เขาไม่เคยผ่านมาก่อน
มันทำให้เขาตื่นเต้น ตื่นเต้นแทบจะทนไม่ไหว
ผิวขาวเนียนใส เรือนร่างอวบอิ่มสมบูรณ์ บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ผิวกายของเธออุ่นจนเกือบร้อน..กระตุ้นต่อมความต้องการของเขาให้โชยระอุจนแทบจะเผาไหม้เสื้อผ้าของเขาให้ลุกโชน
เหงื่อแตกซึมออกมาทุกขุมขน แม้จะอยู่ภายใต้การทำงานของเครื่องปรับอากาศ ในห้องของโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง
เขาปลดเปลื้องเสื้อผ้า....
ก่อนจะลงมือ เขายังมีเวลาถามตัวเองอีกว่าหลังจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
"ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน"
นั่นเป็นคำตอบที่ได้
.......
แขกเหรื่อมากมายนั่งอยู่ยังเบื้องล่าง สายตาทุกคู่มุ่งมาทางเขา
ในมือถือแก้วเครื่องดื่ม ชุดสูทของเขาดูดีมากในเวลานี้ แม้หน้าตาและทีท่าจะแสดงอาการเมาออกมาให้เห็นอยู่บ้าง
บุคลิกที่งามสง่าบัดนี้ถูกกลืนด้วยหัวไหล่ที่ห่องุ้ม ใบหน้าที่อิดโรย ดวงตาที่ลึกไร้ประกาย
เขากำลังอวยพรให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว
"ผมในฐานะเพื่อนรักของเจ้าบ่าว..คุณวรวุฒิ และในฐานะคนที่เคยร่วมงานมากับเจ้าสาว..คุณภาวินี รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้รับเกียรติให้ขึ้นมากล่าวอวยพรให้บ่าวสาวในวันนี้.."
"ผมขอให้ความรักของทั้งสอง จงหนักแน่นมั่นคงดั่งขุนเขา ถือไม่เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง.."
"และขอให้ชีวิตของเขาทั้งสองไม่เหมือนชีวิตของผม..เอ้า..ไชโย.."
จะมีสายตาคู่ใดเล่า ที่สังเกตเห็นหยาดน้ำตาของเจ้าสาวในเวลาอย่างนี้???
......
กลางดึกคืนหนึ่งของฤดูหนาว
อากาศถ่วงต่ำ ฟ้าสว่างด้วยดวงดาวระยิบยับ
ร่างหนึ่งในชุดบางเบาไม่สนใจลมหนาวที่โชยกัดแทรกซึมเข้ามาทุกขณะ
เขายกแก้วในมือขึ้นดื่มอีกครั้ง
ดวงตาลึกโหลหลับพริ้ม ลิ้มรสอันโอชะนั้นเข้าไปเพื่อชะล้างความทรงจำที่โหดร้าย
มือหมดแรงถือแก้ว..ปล่อยมันตกลงบนพื้นจนแตกกระจาย
ลมหายใจแผ่วจาง..
ความทรงจำกระจ่างแจ่มเพียงชั่ววูบ
แล้วดับวับไปพร้อมกับลมหายเฮือกสุดท้าย
......
รูปสองสามรูปปลิวไปกับลมหนาว
เป็นภาพผู้หญิงที่ด้านหลังบรรจงเขียนคำสารภาพจากหัวใจของชายคนหนึ่ง
"ผมรักคุณ"
และมีชื่อของผู้เขียนลงท้าย
"กรกาจ"
........
-จบ-
เมื่อวันที่ : 16 มิ.ย. 2548, 08.52 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...